ตำนานบิ๊กฟุต 

            สำหรับตัวบิ๊กฟุตนั้นเชื่อว่าหลายคนคงเคยได้ยินและคงเคยได้ดูภาพยนตร์หรือการ์ตูนเกี่ยวกับตัวบิ๊กฟุตกันมาบ้างแล้วเพราะว่าปัจจุบันนั้นก็ยังมีละครหรือภาพยนตร์ที่สร้างซึ่งมีตัวละครบิ๊กฟุตกันอยู่ในนั้นด้วย

และเด็กๆย่อมรู้จักตัวละครตัวนี้กันเป็นอย่างดีทีเดียวจริงๆแล้วตัวบิ๊กฟุตนั้นถือว่าเป็นยักษ์ในตำนานอีกตัวหนึ่งซึ่งลักษณะของมันนั้นจะมีขนปุกปุยเต็มตัวไปหมด ลักษณะของบิ๊กฟุตนั้นจะมีลักษณะคล้ายกับลิงตัวใหญ่

เลยมันมีความสูงประมาณ 2 เมตรครึ่ง และสำหรับเจ้าบิ๊กฟุตนี้เป็นที่รู้จักกันอย่างมากในช่วงประมาณปีคริสต์ศักราช 1811ที่เมือง เจสเปอร์ ประเทศแคนาดาซึ่งการค้นพบครั้งแรกนั้นเกิดขึ้นเมื่อมีชายคนหนึ่งได้ขึ้นไปเดินบนภูเขาที่มีหิมะปกคลุมเต็มไปหมดและเขาพบเห็นรอยเท้าซึ่งมีขนาดใหญ่

โดยเมื่อมีการวัดรอยเท้าแล้วพบว่าขนาดของรอยเท้านั้นมีความยาวถึง 35 เซนติเมตรเลยทีเดียว และแน่นอนว่ารอยเท้าที่มีขนาดใหญ่มากขนาดนี้เกิน 1 ไม้บรรทัดนั้นจะต้องไม่ใช่รอยเท้าของมนุษย์อย่างแน่นอน และแน่นอนว่าผู้คนส่วนใหญ่จึงเริ่มหาข้อมูลเกี่ยวกับรอยเท้าดังกล่าวว่าเป็นรอยเท้าของใครกันแน่

ที่มีรอยเท้าใหญ่มากขนาดนี้เลยหลายคนนั้นคิดไปถึงรอยเท้าของยักษ์กันเลยทีเดียวอย่างไรก็ตามได้มีคลิปวีดีโอคลิปหนึ่งได้มีการเผยแพร่ออกมาเป็นการแอบถ่ายผู้ชายคนหนึ่ง ในช่วงปีคริสต์ศักราช 1967  ซึ่งคลิปดังกล่าวนั้นเป็นคลิปที่ถ่ายถึงผู้ชายคนหนึ่งที่มีขนขึ้นเต็มตัวไปหมดและมีร่างกายสูงใหญ่เขากำลังเดินอยู่ในป่า

และถึงแม้ว่าคลิปวีดีโอดังกล่าวนั้นจะมีช่วงเวลาการถ่ายออกมาเพียงแค่ไม่กี่วินาทีเท่านั้นแต่ทุกคนที่ได้เห็นวีดีโอดังกล่าวนั้นก็พากันปักใจเชื่อแล้วว่าชายที่อยู่ในคลิปวีดีโอนั้นคือบิ๊กฟุตตัวจริง แต่ก็มีบางคนมีความคิดเห็นแตกต่างออกไปว่าคลิปดังกล่าวนั้นน่าจะเป็นการสร้างขึ้นมาโดยอาจจะให้คนมาใส่ชุดของลิงยักษ์แล้วถ่าย

เหมือนกับว่าพวกเขานั้นเจอบิ๊กฟุตแต่อย่างไรก็ตามในอีกไม่กี่ปีให้หลังต่อมาก็มีการค้นพบขนซึ่งมีความยาวถึง 6 cm ส่งมาให้เจ้าหน้าที่ตำรวจมาถึง 15 cm ด้วยกันและผู้ส่งยังได้มีการเขียนกำกับเอาไว้ด้วยว่าเส้นขนดังกล่าวนั้นเป็นเส้นขนของบิ๊กฟุต แต่หลังจากที่มีการส่งตรวจสอบกับพบว่าเส้นขน

ดังกล่าวนั้นเป็นเส้นขนของกวางนั่นเอง แต่อย่างไรก็ตามถึงแม้จะมีหลายกระแสออกมายืนยันว่าบิ๊กฟุตนั้นมีอยู่จริงในโลกใบนี้แต่ก็ยังไม่เคยมีใครที่จะเห็นบิ๊กฟุตตัวเป็นๆหรือมีหลักฐานยืนยันได้ว่าบิ๊กฟุตนั้นมีอยู่จริง

ก็เท่าที่เห็นอยู่ในปัจจุบันนี้ก็เป็นลักษณะของคนที่นำชุดนี้มาใส่และถ่ายรูปออกมาเพื่อให้เหมือนกับบิ๊กฟุตเท่านั้นยังไม่เคยมีใครที่จะเห็นเลยว่าบิ๊กฟุตของจริงนั้นมีจริงอยู่หรือไม่ซึ่งเรื่องนี้ก็ยังคงเป็นที่ถกเถียงกันตั้งแต่ในอดีตมาจนถึงปัจจุบันนี้ก็ยังหาข้อสรุปไม่ได้นั่นเอง 

 

สนับสนุนโดย  เว็บพนัน ดีที่สุด 2020

สนามกีฬาโคลอสเซียม

สำหรับสนามกีฬาโคลอสเซียมนั้นซึ่งก็ได้สร้างเสร็จเมื่อประมาณคริสตศักราช80และมันได้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อการแสดงและให้มันได้กลายมาเป็นความบันเทิงขององค์จักรพรรดิ แต่เนื่องจากว่าจักรพรรดิท่านนี้ท่านก้ได้สร้างไป

เมื่อประมาณไม่แน่ใจว่าน่าจะ50-60ของคริสตศักราชแต่ทีนี้ท่านก็ได้สวรรคตในปี ค.ศ.79จากนั้นลูกชายแท้ของท่านก็ได้ขึ้นมาครองราชแทนแล้วต้องการความเป็นนิยมของคนในหมู่มากจึงได้ทำการจัดกีฬาในกลางแจ้งในวันพิธีเปิดโคลอสเซียม

และยังได้มีหลายรูปแบบมาไม่ว่าจะเป็นการนำเอานักรบหรืออะไรต่างๆนำเอามาต่อสู้กันเองหรือนำเอาคนไปสู้กับกลาดิเอเตอร์หรือแม้แต่ประวัติศาสตร์ที่เรานั้นได้เคยศึกษามาก็คือการจับนักโทษนำเอามาทำการประหารที่ในโคลอสเซียม

โดยให้นักโทษนั้นได้เข้าไปยืนอยู่ในโคลอสเซียมด้วยมือเปล่าและได้ปล่อยสัตว์ร้ายออกมาให้เข้ามาทำร้ายจนถึงแก่ความตายและจะขอบอกเลยว่าเรื่องของโคลอสเซียมนั้นมันก็ไม่ธรรมดาเลยจริงๆซึ่งข้อมูลตรงนี้มันได้มีอยู่เยอะมาซึ่งเราก็ได้หานำเอามาวิเคราะห์ให้ทุกคนได้อ่านกันแต่ถึงอย่างไรก็ตามก็ต้องนับถือหัวใจของนักวิศวะกรของสมัยก่อนที่เก่ามากที่ได้สร้างสนามกีฬาที่ใหญ่ขึ้น

มาขนาดนี้ได้แต่ก็อย่างที่ได้กล่าวไปว่าคนมือเปล่าและได้สู้กับสัตว์ร้ายไม่ว่าจะเป็นช้าง ฮิปโปโปเตมัส หรือ สิงห์โตเราไม่อยากจะนึกสภาพเลยว่าคนที่ได้ดูกันอยู่ทั้งสนาม5หมื่นกว่าคนเห็นคนกำลังที่จะถูกสัตว์ร้ายเข้ามาทำร้าย

ซึ่งมันก็ได้เป็นอีกหนึ่งสิ่งของความที่ได้เป็นโรคจิตถ้าหากเราได้ไปเห็นแบบนั้นเป็นเราก็ไม่โอเคสักเท่าไหร่ ซึ่งรูปแบบลักษณะแบบนี้มันก็ได้เป็นความสนุกของคนที่ได้อยู่ในยุคสมัยก่อนและ สำหรับเรื่องนี้มันก็ได้เป็นทฤษฎีที่เขาได้ตั้งขึ้นมาก่อนที่จะได้มีการนำเอามาสรุปกันในทีหลังและนี่มันได้เป็นเพียงแค่ทฤษฎีก่อนที่พวกเขาจะได้ตั้งข้อบทสรุป ซึ่งเราได้เชื่อว่าทุกๆคนนั้น

ก็อาจจะเคยได้เรียนประวัติศาสตร์กันมาอย่างแน่นอน ซึ่งในประวัติศาสตร์ที่เราได้พูดถึงนี้เราขอยกเอาของประวัติศาสตร์จริงจีนขึ้นมา ในประวัติศาสตร์จีนมันก็ได้มีอยู่หลายราชวงค์มากซึ่งก็จะมีไล่กันมาเรื่อยๆ

ซึ่งราชวงค์จีนนั้นก็ได้มีอยู่เยอะมากและเราก็ยังได้เคยเข้าไปศึกษาเรื่องราวของราชวงค์จีนอยู่ระยะหนึ่งจนผมได้ไปติดตามหนังเรื่องหนึ่งที่เรียกว่า กษัตริย์โลกไม่ลืม ของราชวงค์สุดท้ายของจีนที่เขาได้มีการบอกว่าได้มีการขายประเทศหรือที่ว่าได้มีการแทรกแซมของคนยุโรปของคนอังกฤษเข้ามาจนทำให้คนในประเทศจีนจะต้องเสียพื้นที่เสียดินแดนไปบางส่วนหรือเสียผลประโยชน์อะไรไปบางส่วนอันนี้ทางเราก็ไม่แน่ใจ

 

สนับสนุนโดย  sagame สูตร

ชีวิตหลังความตายมันมีอยู่จริงหรือไม่

ชีวิตหลังความตายมันมีอยู่จริงหรือไม่และชีวิตหลังความตายนั้นเป็นอย่างไร?

ในกรณีของคนเราที่ได้เสียชีวิตไปแล้ว แล้วจะกลับมาฟื้นอีกครั้งหนึ่งเปอร์เซ็นมันแทบจะเป็นศูนย์แต่มันได้มีบางกรณีที่เสียชีวิตไปแล้วกลับมาฟื้นมีชีวิตอีกรอบ ซึ่งเกิดขึ้นในประเทศไทยและต่างประเทศเราก็ตกใจอยู่เหมือนกันว่าคนอะไร

ตายไปแล้วฟื้นกลับมาได้หรือจริงๆทางหลักวิทยาศาสตร์เขาก็ได้อ้างอิงเอาไว้ว่าจริงๆร่างกายคนเรามันอาจจะยังไม่ตายร้อย%แต่เราลองนึกสภาพหัวใจหยุดเต้นร่างกายเย็นแต่คนเรากลับมามีชีวิตได้ยังไง

และบางคนเซลล์ที่อยู่ในร่างกายบางส่วนมันได้ตายไปแล้วก็เลยตกใจว่ามันคืออะไร ยกตัวอย่างในประเทศไทยเรามันจะมีอยู่กรณีหนึ่งที่ได้มีน้องคนหนึ่งที่ได้เสียชีวิตไปน้องมีอายุประมาณ10เหตุการณ์ประมาณ5-6ปีที่แล้วที่น้องนั้นได้ตายไปแล้วทางญาติหรือคุณหมอก็ได้จับตัวน้องตัวน้องยังอุ่นๆแต่อยู่ดีๆน้องเขาก็ได้ฟื้นขึ้นมาจากความตาย

แต่สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือหลังจากที่ร่างกายตายไปได้ระยะเวลาก็หลายวันสิ่งที่เกิดขึ้นก็คือเซลล์ในร่างกายของน้องได้ตายไปบางส่วนแล้วและมือของน้องก็ได้เป็นเนื้อแห้งๆแข็งๆไม่สามารถที่จะขยับมันได้แล้วหากจะพูดง่ายๆ

มันก็จะเหมือนกับศพของมันมี่เนื้อมันแห้งๆไม่สามารถขยับได้ ซึ่งเหตุการณ์นี้มันได้เกิดขึ้นในประเทศไทย เราก็เลยตกใจว่าคนเราเมื่อตายไปแล้วมันสามารถกลับมาฟื้นได้อีกหรอมันหน้าแปลกใจมากแล้วอย่างในกรณีนี้มันไม่ใช่กรณีแรกที่เกิดขึ้นในประเทศไทยมันเคยมีกรณีก่อนหน้านี้ถ้าใครไปหาอ่านข่าวได้ว่ามันได้มีคนบางคนเสียชีวิตไปแล้ว

ร่างกายนั้นเย็นมากแต่ฟื้นขึ้นมาได้ทางคุณหมอก็เลยงงมันเกิดอะไรขึ้นทางวิทยาศาสตร์ก็ยังบอกไม่ได้แต่เขาได้สันนิษฐานกันว่าเหมือนร่างกายมันช็อกทุกอย่างมันหยุุดทำงานไปแล้วและเหมือนร่างกายมันกลับมาได้มันก็ยังไม่มีหลักฐานยืนยันทางวิทยาศาสตร์ได้ว่ามนุษย์เราสามารถหยุดร่างกายเหมือนดับร่างกายแล้ว

เปิดขึ้นมาใหม่มันก็ยังไม่มีนักวิทยาศาสตร์คนไหนที่จะพิสูจน์ได้หรือว่ามีหลักฐานในการยืนยันมันก็เลยคิดไม่ออกว่ามันได้เกิดขึ้นมาจากอะไร

ซึ่งในปัจจุบันนี้คนเราก็ยังไม่รู้ในต่างประเทศใช่ว่ามันจะไม่มีในต่างประเทศก็มีบางคนอยู่ในโลงกำลังเอาเข้าเตาเผาแล้วอยู่ดีๆเหมือนมีเสียงเคาะออกมาจากโลงศพที่มีคนตายปรากฎคนที่เสียชีวิตที่นอนอยู่ในโลงยังไม่เสียชีวิตแต่ถึงอย่างไรก็ยังโชคดีที่ยังไม่ถูกเผาทั้งเป็น

 

ได้รับการสนับสนุนโดย  bk8

ตำนานไซซีหญิงงามที่พลิกประวัติศาสตร์ของจีน

        ว่ากันว่าในประวัติศาสตร์ของจีนนั้นมี 4 หญิงงามที่สามารถพลิกประวัติศาสตร์ของจีนจากเมืองที่ดีให้กลายเป็นการล่มสลายของเมืองได้สำหรับหญิงงามคนแรกที่เราจะพูดถึงกันนั่นก็คือไซซีซึ่งเรื่องราวของหญิงงามที่ชื่อว่าไซซีนี้

เกิดขึ้นเมื่อประมาณคริสตศักราช 506 ซึ่งในสมัยนั้นเป็นยุคสมัยของชุนชิวโดยมีการปกครองด้วยพระเจ้าเจ้อเจียงสำหรับใส่ซีนั้นเป็นลูกสาวของข้าราชการที่มีฐานะร่ำรวยและเธอเป็นหญิงงามที่สุดในยุคนั้น 

ในยุคชุนชิวนั้นเป็นยุคที่มี การต่อสู้แก่งแย่งอำนาจกันอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งในครั้งนั้นมีการต่อสู้กันระหว่างรัฐอู๋ กับรัฐเย่ว และแน่นอนว่า รัฐอู๋เป็นฝ่ายชนะ ซึ่งทางด้านรัฐเย่วต้องการแก้แค้ จึงได้มีการคิดแผนการรบขึ้นมา

ซึ่งแผนดังกล่าวนั้นก็คือจะต้องมีการฝึกกองกำลังทางทหารให้แข็งแกร่งและยังมุ่งเน้นเรื่องของการพัฒนาด้านกสิกรรมและแผนที่ 3 คือการที่จะส่งสาวงามไปเป็นบรรณาการให้กับพระเจ้าที่ครองแคว้นของรัฐอู๋ และแน่นอนว่าหญิงงามที่พูดถึงกันอยู่นั้นก็คือ ไซซีนั่นเอง ในการที่รัฐเย่ว ส่งหญิงงามไปถวายตัวให้กับเจ้าผู้ครองเมืองแห่งรัฐอู๋นั้น

นอกจากจะมีการส่งไปรษณีย์ไปแล้วยังมีการส่งนางเจิ้งตันไปคู่กันด้วย ซึ่งทั้งคู่นั้นถูกถูกอบรมให้มีอุดมการณ์รักชาติบ้านเมืองและสามารถที่จะทำยังไงก็ได้ให้กษัตริย์ครองเมืองของรัฐอู๋นั้นลุ่มหลงอย่างไรก็ตาม เมื่อ 2 สาว

ที่มีความงดงามถูกส่งตัวไปยังรัฐอู๋กษัตริย์ที่ครองเมืองกับชื่นชมพระนาง ไซซี มากกว่าทำให้ พระนางเจิ้งต้น น้อยใจ จนฆ่าตัวตาย ในระหว่างที่พระนางไซซีนั้นอยู่ที่อู๋ พระนางทำทุกวิถีทางให้เจ้าเมืองของรัฐอู๋ นั้นลุ่มหลงและไม่สนใจกิจการบ้านเมืองจนข้าราชบริพารนั้นต่างก็พากันต่อว่าและเอือมระอา

แต่อย่างไรก็ตามมีอำมาตย์ที่ชื่อว่าซุนหวู่ซึ่งเป็นคนที่มีชื่อเสียงโด่งดังเรื่องความเก่งกาจในการต่อสู้และยุทธวิธีใช้ต่างๆได้ออกมาสาธิตการต่อสู้มากมายโดยใช้ผู้หญิงมาเป็นตัวทดลองในการสาธิตในครั้งนั้นทำให้มีผู้หญิงหลายคนนั้นเสียชีวิต

เป็นเหตุให้พระนางไซซีนั้นไม่พอใจจึงได้มีการเข้าปะทะแนวความคิดนี้กับซุนวูเพราะว่านางใส่สีนั้นเห็นว่าตนเองก็เป็นผู้หญิงเหมือนกันจึงอยากให้ซุนวู นั้นเปลี่ยนแนวความคิดพี่ให้เลิกดูถูกผู้หญิง จึงได้มีการตัดต่อวาทีกันขึ้นและในที่สุดพระนางไซซีนั้นก็สามารถเอาชนะซุนวูได้  อย่างไรก็ตามตั้งแต่พระนางไซซี

ได้มาอยู่ที่รัฐอู๋เป็นระยะเวลาถึง 13 ปีด้วยกันและพระนางได้มีการทำให้เจ้าผู้ครองแค้วนรัฐอู๋ลุ่มหลง ทำให้ในที่สุด รัฐอู๋ก็อ่อนแอไม่เก่งกาจเหมือนเดิมจนทำให้รัฐเย่ว สามารถมารบเอาชัยชนะกลับไปได้ และนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาก็ไม่เคยมีใครเห็นพระนางไซซีอีกเลยว่ากันว่าหลังจากที่มีการผ่านศึกสงครามในครั้งนั้นไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วพระนางใส่ 4 ก็เดินทางออกท่องเที่ยวไปเรื่อยๆใช้ชีวิตอยากมีความสุข

 

ได้รับการสนับสนุนโดย  sagame88

รูปภาพที่มีมาตั้งแต่ในยุควิคตอเรีย

 

ผู้ร่วมไว้อาลัย

มีการกล่าวถึงการจ้างผู้ร่วมไว้อาลัยมาตั้งแต่ในช่วงยุคสมัย ฟาโรห์ ของอียิปต์ สถานะหรือชนชั้นของผู้ตายจะถูกกำหนดจากจำนวนผู้ที่มาร่วมงานศพหลายครั้งจึงมีการจ้างผู้มาร่วมไว้อาลัยในยุโรปการปฏิบัตินี้ได้จางหายไปในช่วงศตวรรษที่18

แต่มันก็ได้กลับมาอีกอีกครั้งในศตวรรษที่19ผู้ร่วมไว้อาลัยอย่างบ้าคลั่งโบกมือไปมาด้วยความทุกข์โศกที่สำคัญ ยิ่งการแสดงของพวกเขาดีขึ้นเท่าไหร่พวกเขาก็จะยิ่งได้รับค่าจ้างมากขึ้นเท่านั้นโดยเหล่าผู้ร่วมไว้อาลัยในจางหายไปในช่วง ยุควิคตอเรีย แต่ภาพของพวกเขายังคงอยู่ภายในรูปภาพที่ถ่ายได้ในช่วงเวลานั้น

ภาพหัวขาด

รูปภาพถ่ายในช่วงของยุตวิคตอเรียมันได้เต็มไปด้วยเทคนิคพิเศษ ซึ่งมันได้มีการพัฒนาครั้งแรกในปี1856โดยช่างภาพชาวสวีเดน ออสกา เรแลนเดอร์ เมื่อเขาได้รวบรวมฟิล์มเนกาทีฟจนทำให้เกิดภาพซ้อนที่ดูแล้วแปลกประหลาดการนำเอาภาพฟิล์มเนกาทีฟมาประกอบกันเป็นที่นิยมมากในการสร้าง “ภาพหัวขาด”

หรือแม้แต่ภาพผู้คนที่ลอยได้การใช้เทคนิคนี้มันไม่ใช่เรื่อง่าย เนื่องจากอุปกรณ์และสารเคมีที่จะต้องใช้ค่อนข้างที่จะมีราคาสูงโดนภาพที่ถูกทำขึ้นไม่ว่าจะเป็นภาพของชายคนหนึ่งที่กำลังถือหัวของเขา หรือ ภาพของชายที่กำลังถือหัวพร้อมกับมีดที่มีเลือดปลอมเลอะอยู่หรือแม้แต่ภาพ ที่นำใบหน้าของมนุษย์ของบุคคลไปวางซ้อน

บนมัมมี่ภาพหัวขาดเป็นที่นิยมมากเช่นชายที่ถือถาดอาหารโดยมีหัววางอยู่หรือแม้แต่ภาพเด็กที่ไม่มีหัวโดยในช่วงศตวรรษที่19ลูกค้าที่ได้มีความคลั่งไคล้ในรูปถ่ายประเภทนี้ขอให้ช่วยทำทุกอย่างของให้หัวลอยได้ภาพบุคคลที่ถือหัวอยู่ในมือ เฟอร์นิเจอร์ลอยได้ไปจนถึงภาพของตัวคนที่ลอยได้ซึ่งมันได้เป็นที่ต้องการของลูกค้าเป็นอย่างมาก

การทดลองทางจิตเวช

การทดลองทางจิตเวชที่ได้เกิดขึ้นมาในช่วงปลายยุคปี1800ได้ถูกพิจารณาว่าเป็นการปฏิบัติที่ป่าเถื่อนซึ่งด้านจิตเวชและในการถ่ายภาพทั้งสองสิ่งนี้ถือได้ว่ามันเป็นเรื่องใหม่และในช่วงเวลานั้น ได้มีการนำสองสิ่งมาใช้ร่วมกันและเกิดผลลัพธ์ออกมาในเชิงบวก ดูเชน เดอ บูลอน

รู้สึกทึ่งกับการแสดงออกถึงสีหน้าและได้ทำการคิดค้นวิธีการใช้กระแสไฟฟ้าในการช็อตผู้ป่วยทางจิตเวช เพื่อการศึกษา วิธีการนี้เรียกว่า “การกระตุ้นผู้ป่วยด้วยกระแสไฟฟ้าราดิก”โดยชื่อนี้ได้ถูกตั้งขึ้น เพื่อเป็นการเคารพต่อ ไมเคิล ฟาราเดย์

ผู้บุกเบิกด้านแม่เหล็กไฟฟ้าและไฟฟ้าเคมี ดูเชน กระตุ้นการหดตัวของกล้ามเนื้อด้วยกระแสไฟฟ้าจากเครื่องมือของเขาจากนั้นเขาก็ได้ถ่ายภากการแสดงออกและความผิดปกติของผู้ป่วยที่ถูกไฟฟ้าดูดเขาตีพิมพ์สิ่งที่ค้นพบ ในปี1862

 

สนับสนุนโดย  เว็บพนันออนไลน์ อันดับ1

ความเชื่อตำนานแวมไพร์

 

สำหรับความเชื่อเรื่องแวมไพร์หรือว่าแดรกคิวล่า ซึ่งเราได้ไปค้นเจอข้อมูลที่สำคัญอยู่สองเรื่องใหญ่ๆที่เขาคลาดกันว่า แวมไพร์มันอาจจะมีอยู่จริงๆบนโลก โดยข้อมูลแรกเขาได้บอกเอาไว้ว่า จากความเชื่อของคนสมัยก่อนคนที่ได้ถูกฝั่ง

หรือว่าคนที่ได้ตายลงไปแล้วแต่ว่าร่างกายไม่เน่าไม่เปื่อย แสดงว่าศพนั้นคือแวมไพร์แต่แวมไพร์ในที่นี้ไม่ใช่ผีแต่มันได้เป็นโลกของแวมไพร์ โดยเรื่องนี้มันได้เกิดขึ้นเมื่อคริสต์ศตวรรษที่13-15โดยประมาณ โดยคนในยุคก็ได้มีความเชื่อในเรื่องของภูผีวิญญาณทางฝั่งแทบยุโรปกันเป็นหลักและตัวช่วยของแวมไพร์ก็ค่อนข้างที่จะโด่งดังแล้ว

ก็มีทั้งเรื่องเล่าที่ได้บอกต่อๆกันมารวมถึงได้มีคนบางคนได้ออกมาปากประกาสว่าเคยเจอแวมไพร์ตัวจริงๆและเกือบโดนแวมไพร์บุกก็มีมาแล้วเหมือนกันจากนั้นเขาก็เลยต้องการที่จะพิสูจน์ว่าแวมไพร์มันมีอยู่จริงๆหรือเปล่า

โดยความเชื่อของคนในสมัยก่อนเชื่อว่าแวมไพร์จะต้องนอนอยู่ในโลงศพตอนเช้าเหมือนในหนังหรือว่าในนิยายที่เรานั้นได้อ่านและเขาก็ยังได้บอกอีกว่าในตอนเช้าแวมไพร์ก็จะมีสภาพเหมือนกับคนตายเลยแต่จะต่างกับคนตายตรงที่ว่าเนื้อหนังเล็บเส้นผมจะเสมือนว่ามีชีวิตอยู่ตลอดเวลาเส้นผมก็จะยาวขึ้นมาเรื่อยๆเล็บมันก็จะงอกออกเรื่อยเนื้อ

ก็จะไม่เน่าไม่เปื่อยจากนั้นเขาก็เลยได้มีการพิสูจน์ด้วยการที่ว่ามีข่าวหรือมีคนบอกต่อว่ามีแวมไพร์อยู่ที่นู้นที่นี่ที่ไหนก็จะมีคนเข้าไปตรวจสอบด้วยการขุดเข้าโลงศพที่อยู่ใต้ดินเอาขึ้นมาจากหลุมที่ฝั่งศพจากนั้นก้มาดูกันว่าศพที่นอนตายอยู่ในโลงนั้น

มันได้มีการเน่าเปื่อยตามระยะเวลาที่ได้กำเนิดหรือไม่ถ้าไม่เน่าเปื่อยก็จะสันนิษฐานเอาไว้ก่อนว่าเป็นแวมไพร์โดยตามบันทึกเขาได้บอกว่าได้มีอยู่ครั้งหนึ่งได้มีการเปิดโลงศพของคนที่ตายไปแล้วอยู่ประมาณ5โลงพร้อมกันขึ้น

มาปรากฎก็ได้พบว่า4โลงศพเน่าเปื่อยตามระยะเวลาแต่อยู่1โลงศพที่ไม่เน่าเปื่อยและยังได้มีสภาพเหมือนคนปกติโดยทั่วไประยะที่ศพตนนี้เสียชีวิตเวลามันก็ได้ผ่านมานานเป็นปีแต่ทำไมศพนี้มันยังไม่เน่ามันยังไม่เปื่อยเขาก็เลยสงสัยกันว่ามันเป็นไปได้ยังไง

และจุดที่มันได้แปลกมากที่สุดก็คือมีเลือดอยู่ที่บริเวณปากและมันได้ไหลลงมาที่บริเวณเสื้อ ซึ่งศพที่ได้เสียชีวิตมาแล้วปีกว่ามันเป็นไปไม่ได้เลยที่มันจะมีเลือดออกจากปากได้แล้วมันควรจะเน่ามันควรจะเปื่อยไปได้แล้ว

 

สนับสนุนโดย  bk8

เกาะที่ไม่มีคนไปอาศัยอยู่และมันได้มีความสวยงามมาก

โลกที่เราได้พักอาศัยอยู่กันนั้นมันกว้างใหญ่เกินกว่าที่เรานั้นจะสามารถที่จะไปท่องเที่ยวไปได้ทุกมุมโลก ซึ่งมันก็จะมีทั้งสถานที่ที่แปลกตาเอาไว้ ซึ่งในโลกใบนี้ก็ยังประกอบไปทั้งมีหมู่เกาะน้อยใหญ่อีกมากมาย และเกาะที่ได้อยู่ในพื้นที่ที่ห่างไกลไปจากผู้คนจนมันยากที่เรานั้นจะสามารถเข้าไปถึงมันได้ ซึ่งสถานที่แห่งนี้มันได้อยู่ในสถานที่ที่ไกลจากผู้คนที่มันก็ยังเต็มไปด้วยเรื่องราวในความเป็นมา 

หมู่เกาะที่ได้มีก้อนเมฆเป็นของตัวเอง

 Lita Dimunซึ่งได้เป็นหมู่เกาะที่ได้มีขนาดเล็กมากที่สุดในทั้งหมด18หมู่เกาะที่ได้จัดตั้งอยู่ทิศทางตอนเหนือ ซึ่งก็ได้เป็นอีกหนึ่งส่วนของราชอาณาจักรของราชอาณาจักรเดนมาร์ก นอกจากนี้สิ่งที่มันสามารถทำให้หมู่เกาะเหล่านี้ได้มีความโด่งเด่นได้และมีลักษณะเด่นที่ไม่เหมือนกับหมู่เกาะอื่นๆ

ซึ่งหมู่เกาะแห่งนี้ได้มีเสน่ห์คือมีเมฆที่มันได้ลอยตัวอยู่เหนือด้านบนของเกาะซึ่งมันมีลักษณะที่ดูเหมือยครีมที่วางอยู่บนหน้าเค้ก เนื่องจากในความที่เป็นจริงแล้วก้อนเมฆที่มันได้ลอยตัวอยู่บนเกาะแห่งนี้มันได้มีรูปร่างเหมือนกระจก

ซึ่งมันได้มีปรากฏทางอากาศที่ชื้นและมันได้มีความอิ่มตัวมันได้พัดผ่านมาภูเขาที่ได้มียอดที่สูงจากนั้นมันก็ได้ทำให้เกิดการไหลของในอากาศชื้นขึ้นมาหลายลูกขึ้นมาจากนั้นเมื่ออุณหภูมิมันได้ลดลงมันก็ได้กั่นตัวมันจึงได้มีปรากฏการดังกล่าวที่เราได้เห็นกัน

ซึ่งก้อนเมฆที่มันได้อยู่บนเกาะ Lita Dimunมันก็จะลอยตัวเช่นนี้กันอยู่บ่อยครั้ง  ซึ่งในบางทีมันก็จะมีก้อนเมฆที่มีขนาดใหญ่จนมันใหญ่มาถึงพื้นทะเลกันเลยทีเดียว ซึ่งถ้าหากใครที่อยากจะไปท่องเที่ยวที่หมู่เกาะแห่งนี้ที่อยากจะเข้าไปชมเมฆลักษณะแบบนี้คุณก็คงจะต้องอาศัยดวงกันสักเล็กน้อย ซึ่งในวันที่หมู่เกาะ Lita Dimunในวันที่มันไม่มีก้อนเมฆก้อนใหญ่

ที่อยู่เหนือยอดด้านบนของมัน เดิมที่มัมนได้เป้นหมู่เกาะที่มันไม่มีผู้ใดที่จะเข้าไปอาศัยอยู่อีกทั้งพวกชาวนาก็จะบนมายังที่บนหมู่เกาะแห่งนี้เพื่อที่จะมาสอดส่องดูสิ่งที่มันมีชีวิตที่มันได้เข้ามาอาศัยอยู่ที่หมู่เกาะแห่งนี้อย่างเช่นแกะขนดำที่มันได้มีกันอยู่เต็มหมู่เกาะที่ได้มีผู้คนในสมัยก่อนเขาได้นำเอาเข้ามาเลี้ยงเอาไว้ซึ่งสัตว์ที่ได้ล่ากินเนื้อมันได้สูญพันธุ์ไปในระหว่างปีค.ศ.1800เพื่อที่จะได้อนุลักษณ์แกะพันธุ์พื้นเมืองเอาไว้

 

สนับสนุนโดย  เว็บพนัน ต่างประเทศ

ตำนานเรือโนอาห์

ข้อมูลที่เราได้ไปทำการศึกษาเพิ่มเติมมาเขายังได้บอกมาว่าจากคัมภีร์โบราณที่ได้ถูกคันเจอที่มีชื่อว่า คัมภีร์โซโรอัสเตอร์ บทที่สองเขาได้มีการกล่าวถึงเหตุการณ์หนึ่งเหตุการณ์ที่ได้มีความคล้ายคลึงกับเรือโนอาห์

ถ้าหากจะให้เราพูดถึงเรือเราก็จะนึกถึงตำนานประมาณว่าสมัยก่อนมันจะมีน้ำท่วมและสัตว์ต่างๆที่มันได้อยู่บนโลกมันก็จะถูกคัดเลือกอยู่หนึ่งสายพันธุ์จะมีทั้งเพศผู้และเพศเมียหนึ่งคู่ได้ไปอยู่บนเรือเพื่อที่จะได้อยู่รอดส่วนที่เหลือที่ไม่ได้มีการคัดเลือกให้ขึ้นไปก็ถูกน้ำท่วมจากนั้นก็ได้ตายไป

ซึ่งมันได้เป็นตำนานที่ได้เล่ากันมาอย่างยาวนานมากแต่ว่าตรงนี้มันได้เหมือนกับเรือโนอาห์อยู่ตรงที่ว่า คัมภีร์โซโรอัสเตอร์ ในบทที่สองเขาบอกเอาไว้ว่าในยุคนั้นได้เกิดมหันตภัยที่ได้เกิดขึ้นทั่วโลกสัตว์หรือมนุษย์หรือสิ่งที่มีชีวิตอยู่บนโลกนั้นตายหมดไม่เหลือเลยดังนั้นเขาจึงมีการคัดเหลือมนุษย์สิงสาลาสัตว์ต่างๆ

จำนวนหนึ่งเพื่อที่จะรักษาและนำเอามาขยายพันธุ์ต่อในอนาคตเมื่อโลกได้กลับมาเป็นปกติถามว่า เหตุมหันตภัย ธรรมชาติที่ได้เจอขึ้นในยุคนั้นมันคืออะไรน้ำท่วมใช่หรือไม่ บอกเลยว่าไม่ใช่  แต่มันได้เป็นยุคน้ำแข็ง

สำหรับยุคน้ำแข็งที่เรากำลังได้พูดถึงกันอยู่นั้นมันคือยุคที่ทั่วโลกได้มีอุณหภูมิต่ำลงอย่างรวดเร็วและทำให้ขาดอาหารขาดแคลนและสุดท้ายสิ่งที่มีชีวิตก็ไม่สามารถที่จะอยู่รอดได้ โดยเรื่องนี้นักกาลวิทยายังได้บอกเอาไว้อีกว่ายุคน้ำแข็งครั้งสุดท้ายนั้นมันได้เกิดขึ้นมา เมื่อประมาณ18,000ปีก่อน

และได้จบลงเมื่อประมาณ10,000ก่อนคริสตกาลมันจะเป็นไปได้หรือไม่ว่าเมืองที่อยู่ใต้พิภพที่ถูกสร้างขึ้นตาม คัมภีร์โบราณมันคือคำเตือนของคนที่อยู่บนฟ้าและตรงจุดนี้มันได้เป็นทฤษฎีแรกที่ได้พูดถึงว่ามนุษย์ต่างดาวหรือคนบนฟ้าเป็นคนที่มาเตือนมนุษย์สมันก่อนให้ระวังเรื่องของภัยธรรมชาติหรือสิ่งที่มันกำลังจะเกิดขึ้น

เพื่อจะดำรงเผาพันธุ์จนมาถึงทุกวันนี้และอีกทฤษฎีหนึ่งที่น่าสนใจเหมือนกันก็คือในสมัยก่อนมันได้มีสงครามทางอวกาศกัน โดยหลักฐานได้ยืนยันว่าเรื่องนี้มันอาจจะเป็นเรื่องจริงในสมัยก่อนก็เหมือนเดิมมันเป็นความอ้างอิงจากจิตกรรมฝาผนังที่มันได้เกิดขึ้นมาเหมือนเดิมจิตกรรมนี้ยังได้บอกเอาไว้อีกว่ามีการขี่ม้าสวรรค์ที่มันสามารถเหาะเดิมบนอากาศได้และกำลังสู้กับบางสิ่งบางอย่างที่อยู่บนฟ้าหากกล่าวแบบนี้เราลองตีความหมายของคนสมัยก่อนกับปัจจุบันมันคืออะไรกัน

 

สนับสนุนโดย  เว็บพนันออนไลน์

คำสาปGrim The Reaper จะเกิดจริงๆในอนาคตบนโลกเราหรือเปล่า?

สำหรับเรื่องของGrim The Reaperเราเชื่อว่าหลายๆคนก็อาจจะเคยได้ยินชื่อเสียงเรียงนามกันมาแล้วว่ามันเป็นรู้แบบอะไรยังไง ซึ่งในตอนแรกพอเราได้ไปหาข้อมูลมาเราคิดว่ามันก็คงจะเป็นประวัติตำนานเกี่ยวกับเรื่องของภูผีปีศาจวิญญาณทั่วไป

แต่เอาจริงๆหาข้อมูลเข้าไปลึกเข้าไปเรื่อยๆมันจะมีเรื่องของตำนานที่ได้ทำนายถึงวันสิ้นโลก โลกจะแตก  วันพิพากษาของโลก เราเลยรู้สึกว่าเรื่องนี้มันค่อนข้างที่จะน่าสนใจแล้วก็นำเอามาเล่าให้ทุกคนได้ฟังพอสมควร

ถ้าหากเราพูดถึงภูผีวิญญาณบาปบุญคุณโทษเวรกรรมหรือแม้แต่สถานที่หลังความตายเราก็คงจะรับรู้กันมาบ้างแล้วว่ามันเป็นยังแล้วถ้าบอกว่าเรื่องพวกนี้มันได้อยู่คู่กับมนุษย์คนเราตั้งแต่ก่อนประวัติศาสตร์ ซึ่งถ้าหากเราลองเข้าไปหาข้อมูลกันจริง เรื่องเหล่านี้ล้วนแล้วแต่จะมีโครงที่ดูคล้ายๆกันแต่สถานที่และชื่อเรียกมันจะแตกต่างกันออกไป

ยกตัวอย่าง ศาสนาพุทธเราเวลาที่เราได้ตายลงไปแล้วถ้าเราทำบุญเราก็จะได้ขึ้นสวรรค์แต่ถ้าเราทำชั่วเรามีกรรมเยอะเราก็จะต้องลงนรกหรือศาสนาอื่นๆแม้แต่เราได้ตายไปถ้าเราทำดีเราก็จะได้ไปในสถานที่ดีๆในชีวิตหลังความตาย

แต่ถ้าเราทำชั่วเราก็จะกลายเป็นวิญญาณเร่ร่อนหรือเราอาจจะไปสถานที่หนึ่งที่มันไม่ใช่พบภูมิที่ดีสัดเท่าไหร่ ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วมันจะเป็นทรงประมาณนี้กันหมดเลยแต่เรื่องตำนานความเชื่อเหล่านี้ทุกๆเรื่องมันจะมีเหมือนกันอยู่หนึ่งอย่างแน่ๆเลยคือพอเราได้ตายลงไปแล้ว

เราก็จะได้ประสบพบเจอกับหนึ่งๆสิ่ง ซึ่งสิ่งๆนั้นนั่นก็คือยมทูตนั่นเอง สำหรับยมทูตที่เราได้พูดถึงตรงนี้นั้นมันได้มีความหมายที่หลากหลายเยอะแยะมากมายแต่ถ้าเรากำจัดความโดยรวมมันก็คือวิญญาณที่จะมารับดวงจิตของเราไปหลังจากที่เรานั้นได้เสียชีวิตไปแล้วและสิ่งๆนั้นมันจะเป็นคนพาเราไปตัดสิ้นหรือพาเราไปสถานที่หลังความตายว่าเราจะได้ไปสถานที่ไหน

ซึ่งยมทูตที่เราได้พูดถึงตรงนี้มันก็จะมีรูปร่างที่แตกต่างกันออกไปตามความเชื่อของแต่ละพื้นที่อย่างของประเทศไทยเรายมทูตก็จะมีลักษณะเป็นผู้ชายร่างใหญ่มีผิวสีแดงดวงตาโตมีลักษณะที่เคล้ายกับยักษ์มีเขี้ยวพร้อมกับถือกระบองหรือว่าถืออาวุธเข้ามารับเราหลังจากที่เรานั้นได้เสียชีวิตไปแล้วตามในความเชื่อหรือถ้าเป็นศาสนาอื่นๆเขาก้จะมีรูปแบบของยมทูตที่แตกต่างกันออกไป

 

สนับสนุนโดย  bk8

ตำนานลึกลับ กล่องขังวิญญาณ Dybbuk Box

  ใครเคยได้ยินเกี่ยวกับตำนานของกล่องขังวิญญาณกันบ้าง กล่องที่มีลักษณะธรรมดาทั่วไป แต่แท้ที่จริงแล้วมีเรื่องราวที่เล่าขานถึงมานานหลายทศวรรษแล้ว ถึงความน่ากลัวและอาถรรพ์ของกล่องนี้ โดยกล่องนี้มีการเริ่มเรื่องราวมาตั้งแต่สมัยช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง

โดยมีเสียงร่ำลือต่อต่อกันมาว่า ภายในกล่องนั้นจะมีดวงวิญาณที่มีความชั่วร้ายมากถูกจับกักขังเอาไว้ ซึ่งเรื่องราวความน่ากลัวจะไม่เกิดขึ้นเลยหากว่าเจ้าของกล่องจะไม่นำกล่องดังกล่าวออกมาขาย โดยว่ากันว่ากล่องที่ว่านี้ถูกประกาศขายผ่านทางอินเตอร์เน็ต 

และเมื่อได้มีคนหลงซื้อกล่องดังกล่าวไป ความสยองขวัญจึงได้เริ่มต้นขึ้นนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ตามการบอกเล่าเกี่ยวกับเจ้ากล่อง Dybbuk Box นี้นั้น เจ้าของกล่องคนแรกได้มีการประกาศขายไปเมื่อประมาณปี ค.ศ. 2001 

ซึ่งเขาได้มีการลงประมูลขายผ่านทางโลกออนไลน์ ประมาณเดือนกันยายน  ที่จริงแล้วเจ้าของกล่องที่แท้จริงนั้นเป็นหญิงชรา เธอเป็นคนยิวที่มีเรื่องราวลึกลับซับซ้อน แต่คนที่นำกล่อง Dybbuk Boxมาขายนั้นกลับกลายเป็นหลานสาวของเธอเองที่ไม่ได้รู้เรื่องราวอะไร เธอจึงได้นำมาประกาศขายหลังจากที่ยายของเธอฝากฝังให้หลานสาวคนสวยนำเจ้ากล่อง Dybbuk Box ไปทำการฝั่งเสีย

แต่แทนที่เธอจะนำกล่องไปฝั่งเธอกลับนำไปประมูลขายผ่านทางอินเตอร์เน็ต จน มีนักสะสามของเก่าคนหนึ่งที่ชื่อว่า เควิน เมนนิส ได้มีการประมุลกล่องดังกล่าวไป  ซึ่งเมื่อเควินได้กล่องไปแล้ว เขาก็นำกล่อง Dybbuk Box นี้ไปเก็บสะสมในสถานที่สะสมของเก่าของเขาที่เขามักจะนำไปจัดเก็บเอาไว้ที่ห้องใต้ดิน

ในบ้านของตัวเอง และตั้งแต่ เควินได้กล่อง Dybbuk Box ไปเขาก็ต้องพบกับเรื่องราวที่น่าประหลาดใจ เพราะบางครั้งไฟที่บ้านของเขาก็มักจะดับเอง หรือแม้แต่เปิดเองโดยที่ไม่มีใครไปยุ่ง และบางที่ก็มีเหตุการณ์ที่ประตูเกิดล็อกขึ้นมาเอง แต่นั่นยังไม่น่ากลัวเท่ากับว่า เควิน เริ่มได้ยินเสียงประหลาดดังอยู่ตลอดเวลา

ซึ่งเสียงดังกล่าวนั้นมันมาจากห้องใต้ดินของเขานั่นเอง  และเรื่องราวกลับน่ากลัวไปอีกเมื่อเขานำกล่องนี้ไปให้แม่ของเขาเพื่อเป็นของขวัญ และแม่ของเขาก็ช็อกจนต้องเข้าโรงพยาบาลทันทีหลังจากได้กล่องไปพร้อมกันนั้น เธอพูดแต่คำว่า H-A-T-E-G-I-F-T ตลอดเวลาและทุกครั้งที่เขามอบกล่องนี้ให้ใครก็จะมีแต่คนเอากล่องมาคืนทุกครั้ง

และใครที่อยู่ใกล้กับกล่องนี้ก็จะฝันร้ายทุกคนและมีอยู่ครั้งหนึ่งที่เขาเห็นเงาคล้ายคนพุ่งเข้าไปในกล่อง เขาจึงได้ตัดสินใจขายกล่องดังกล่าวในเว็บของอีเบย์ และได้มีคนที่ดูแลพิพิธภัณฑ์ได้ซื้อเอาไป และเรื่องราวสยองขวัญดังกล่าวก็ยังคงมีการเล่าต่อต่อกันมาจนมีคนนำตำนานนี้มาสร้างเป็นหนังสยองขวัญเลยทีเดียว

 

ได้รับการสนับสนุนโดย  เว็บพนัน csgo