ตำนานเกี่ยวกับเกาะคำชะโนด

ซึ่งด้วยความแปลกของต้นคำชะโนดที่อยู่บนเกาะชาวบ้านในระแวกนั้นก็ได้มีความเชื่อกันไปต่างๆนานาเชื่อว่ามีพญานาคมาร่ายมนต์ใส่เกาะแห่งนี้บ้างหรือว่าเป็นเกาะผีบ้างแต่ว่าจะมโนไปอย่างเดียวมันก็ไม่ได้ยุคนี้มันเป็นยุค5Gกันแล้ว

นอกจากนี้พวกเหล่านักวิชาการหัวใหม่เขาก็เลยเข้าไปศึกษาหาประวัติแล้วก็สืบค้นข้อมูลต่างๆเพื่อทำให้รู้ว่าเกาะแห่งนี้ทำไมมันถึงสามารถลอยน้ำได้แล้วก็รอดพ้นในการน้ำท่วมอยู่ทุกครั้งเลยเขาก็เลยมีทฤษฎีขึ้นมาว่าจริงๆแล้วตัวเกาะมันอาจจะไม่ได้เป็นพื้นที่โดยทั้งหมดเลยก็ได้มันอาจจะเป็นเพียงแค่กลุ่มก้อนอะไรที่มันลอยน้ำอยู่

เนื่องจากนี้เขาได้สันนิษฐานกันว่าพื้นที่ของตัวเกาะมันจะมีความหนาอยู่ประมาณ3เมตรโดยเกิดจากการเกิดขึ้นมารวมตัวกันของรากไม้ทั้งนั้นเลยคือเจ้ารากไม้มันได้งอกออกมามันก็จะแพ่ออกไปแบบแนวนอนเกี่ยวแน่นกันจนกลายเป็นพื้นดินมันก็เลยทำให้เป็นพื้นดินทีแน่นแบบพิเศษที่มีโพงอากาศมากมาย

โดยได้มีการนำเอามาบวกกันของพวกซากพืชซากสัตว์ที่มันทับถมสะสมกันมาอย่างยาวนานกว่าหลายร้อยปีจนกระทั่งดูไม่ออกเลยว่ามันเป็นซากอะไรแล้วและจับตัวกันเป็นก้อนแข็งๆ

ทั้งนี้ด้วยเหตุทั้งหมดทั้งมวนนี้เองคำชะโนดก็เป็นเหมือนก้อนอะไรที่ลอยน้ำอยู่แต่ทว่ามันเป็นเพียงแค่ข้อสันนิษฐานเท่านั้นถ้าจะให้รู้จริงๆมันก็ต้องไปสำรวจกันใต้น้ำเลยแต่ถึงอย่างไรก็ตามมันก็ยังเป็นเรื่องของความเชื่ออะไรนี้อีก

ซึ่งชาวบ้านแถวนั้นเขาก็เชื่อกันว่าที่แห่งนี้มันจะเป็นวังนาคินหรือว่าประตูสู่บาดารและมันก็เป็นเรื่องที่ไม่ควรอย่างยิ่งที่จะไปรบกวนสิ่งศักดิ์สิทธิอะไรที่มันอยู่ใต้น้ำบ้างก็บอกว่าข้างใต้น้ำมันจะมีจระเข้ยักษ์ตัวหนึ่งอาศัยอยู่มันก็เป็นบริเวณของเจ้าปู่ศีรสุทโธที่ได้อาศัยอยู่ในบริเวณที่แห่งนั้นเชื่อว่ามันจะกินคนที่เข้ามาในเขตนี้แต่จระเข้มีจริงทำไมมันไม่โผล่ขึ้นมาเลยสักครั้ง

ดังนั้นด้วยตำนานที่มันโหดอย่างนี้แบบนี้มันก็เลยทำให้คนเขานั้นกลัวเรื่องราวของคำชะโนดก็เลยได้กลายเป็นเพียงตำนานเรื่องราวปริศนากันต่อมา

จนกระทั่งสุดท้ายแล้วก็มีนักประดาน้ำใจกล้าอาศัยที่จำดำน้ำลงไปพิสูจน์เองโดยนักดำน้ำคนนี้ก็เป็นนักดำน้ำของมูลนิธิที่ได้อาศัย

ซึ่งเอาจริงๆเขาก็แอบกลัวอยู่เหมือกันและพอพี่เขาได้ดำน้ำลงไปด้านข้างแล้วน้ำที่มันขุ่นๆอยู่ลงไปอีกปรากฎว่าน้ำนั้นใสสามารถมองเห็นสัตว์น้ำต่างๆได้เต็มที่เลยและเขาก็ได้พบเจอกับโพงหนึ่งมันมีความลึกมากและตามความเชื่อของชาวบ้านเขาบอกว่าโพงแห่งนี้มันสามารถไปได้ถึงใจกลางของเกาะเลยทีเดียว

 

สนับสนุนโดย  หวยดี

บึงพลาญชัยคือหลอน จ.ร้อยเอ็ด

ซึ่งเหตุการณ์ของบึงพลาญชัยได้มีหญิงสาวคนหนึ่งได้เข้ามาฆ่าตัวตายที่บึงแห่งนี้แล้วปรากฏว่าชาวบ้านในระแวกนั้นพบเห็นหญิงผู้นี้อยู่บ่อยครั้งจากนั้นได้มีผู้ที่สามารถสัมผัสกับวิญญาณได้เคยเข้าไปสัมผัสห้องน้ำที่เกิดเหตุแห่งนี้แล้วได้นั่งสมาธิแล้วได้นิมิเห็นวิญญาณของผู้หญิงคนนี้ยืนร้องไห้อยู่ในที่เกิดเหตุพร้อมกับร้องขอให้ปลดปล่อยวิญญาณออกจากสถานที่แห่งนี้

นอกจากนี้ก็ได้ไปเชิญพระสงฆ์มาทำพิธิปลดปล่อยดวงวิญญาณของผู้หญิงคนนี้โดยในปัจจุบันห้องน้ำสถานที่แห่งนี้ก็ได้มีการปรับปรุงเรียบร้อยแล้วและยังมีชาวบ้านบางคนที่กำลังวิ่งผ่านยังคงได้ยินเสียงร้องแต่บางคนก็ไม่ได้พอเจอเหตุการณ์ประหลาดหรือเรื่องที่หลอนๆของในสถานที่แห่งนี้เลย

เนื่องจากนี้เรื่องหลอนภายในห้องน้ำแห่งนี้แล้วก็ยังพบเจอเรื่องหลอนๆภายในบริเวณที่แห่งนั้นอีกและได้มีบุคคลหนึ่งเขาได้มาเขียนเรื่องเล่าที่สยองขวัญเกี่ยวกับสถานที่แห่งนี้ว่าสิ่งที่เขานั้นได้พบเจอมันเป็นเรื่องจริงที่พบเจอกับตัวของเขาและเพื่อนเลย

เรื่องมันก็มีอยู่ว่าในระหว่างที่เขาและเพื่อนที่กำลังขับรถมอเตอร์ไซค์ไปส่งแฟนที่บ้านโดยไฟที่ติดอยู่ในซองบ้านของแฟนค่อนข้างที่จะมืดจึงคิดว่าหากชวนเพื่อไปด้วยจะได้ไม่รู้สึกกลัวด้วย

เพราะเนื่องจากว่าเขานั้นเป็นคนที่ค่อนข้างที่จะกลัวผีหลังจากที่ส่งแฟนเสร็จเขาและเพื่อนของเขาก็ได้ขับมอเตอร์ไซค์กลับบ้านกันตามปกติขับผ่านวัดหนึ่งที่อยู่แถวๆบึงพลาญชัยในระหว่างที่พวกเขากำลังขับรถผ่านไปนั้นสายตาของเขาได้มองไปเห็นผู้หญิงคนหนึ่งได้ยืนตรงข้ามกับวัด

ซึ่งในเวลาขนาดนั้นเป็นเวลาตีหนึ่งเขาได้ขับผ่านผู้หญิงคนนี้ที่ยืนอยู่บริเวณริมทางตรงข้ามกับวัดด้วยความสงสัยเขาจึงได้คุยกับเพื่อนว่าเดี๋ยวเราลองขับไปดูทีดีกว่าว่าทำไมได้ออกมายืนในที่แบบนี้คนเดียวด้วยความสงสัยของเขาและเพื่อน

จึงได้ทำการวนรถกลับไปดูอีกรอบหนึ่งเขาก็ยังเจอผู้หญิงคนนั้นอยู่เช่นเดิมยืนอยู่ในตำแหน่งเดิมสถานที่ๆที่เดิมแต่ในครั้งนี้เขาค่อยๆชรอรถดูว่าผู้หญิงคนนี้คือใครกันและแล้วอยู่ๆผู้หญิงคนนี้ที่ยืนอยู่ก็ค่อยๆหันหน้ามาหาเขา

ในขณะที่พวกเขากำลังขับรถเข้ามาใกล้ๆกับผู้หญิงคนนี้เธอก็ค่อยๆเงยหน้าแล้วก็หันมายิ้มให้กับพวกเขาและเขาทั่งสองคนได้สังเกตเห็นว่าใบหน้าของผู้หญิงคนนี้ที่ค่อยๆหันมายิ้มให้นั้นมันมีลักษณะแปลกๆเพราะว่ารอยยิ้มที่เขาได้จากผู็หญิงคนนี้ไม่ได้เป็นการส่งยิ้มที่ธรรมดา

สิ่งที่พวกเขานั้นพบเจอก็คือปากของผู้หญิงคนนี้ที่ได้ยิ้มให้กับพวกเขานั้นมีลักษณะปากได้ฉีกไปถึงงงใบหูทำให้พวกเขากับเพื่อนถึงกับหยุดน้ำตาเอาไว้ไม่หยุดแล้วก็ไม่กล้าที่จะพูดอะไรออกมาเลย

 

สนับสนุนเรื่องราวโดย  สูตรหวยยี่กี 2ตัวล่าง lottovip

เรื่องเล่าหมู่บ้านลัดดาแลนด์

นอกจากนี้หลังจากที่ได้เกิดเหตุการณ์ฆาตกรรมหมกศพเอาไว้ที่ใต้บันไดบ้านจากนั้นก็ได้มีชาวต่างชาติก็ได้เข้ามาซื้อบ้านที่อยู่ในหมู่บ้านลัดดาแลนด์แห่งนี้ที่ตั้งอยู่ใกล้กับบ้านระแวกที่เกิดเหตุตรงนั้นแล้วก็ได้จ้างสาวชาวพม่ามาเป็นแม่บ้านประจำของหมู่บานแห่งนี้เพราะว่าชาวต่างชาติคนนี้เขาจะเข้ามาในประเทศไทยแล้วมาท่องเที่ยวในช่วงเวลาหน้าหนาวเพียงเท่านั้น

จึงมีความจำเป็นที่จะต้องจ้างแม่บ้านให้เข้ามาดูแลบ้านที่ตนซื้อเอาไว้อยู่ตลอดเวลาแต่ความซวยมันได้เกิดขึ้นตรงที่ว่าได้มีอยู่วันหนึ่งได้มีโจรได้บุกขึ้นบ้านชาวต่างชาติคนนี้แล้วหญิงสาวพม่าคนนี้ได้เห็นหน้าโจรที่กำลังปล้นบ้านจึงทำให้โจรพวกนั้นมีความจำเป็นที่จะต้องฆ่าปิดปากหญิงสาวชาวพม่าคนนี้แล้วทำการฆาตกรรมหมกศพเอาไว้ที่ห้องใต้บันไดเป็นระยะเวลานานกว่า2เดือนกว่าจะมีคนมาพบ

ซึ่งเหตุการณ์ตรงนี้มันเหมือนจะเป็นเหตุการณ์ฆาตกรรมธรรมดาแต่มันไม่ธรรมดาตรงที่ว่าหลังจากเกิดเหตุการณ์ฆาตกรรมตรงนั้นแล้วในระยะเวลา2เดือนและไม่มีใครรู้เลยว่าผู้หญิงชาวพม่าคนนี้ได้เสียชีวิตไปแล้วและยังมีหลายๆคนได้พบเจอหญิงสาวชาวพม่าคนนี้ออกมาใช้ชีววิตและออกมาดูแลบ้านเหมือนคนปกติโดยทั่วไปเลย

เนื่องจากนี้ในเหตุการณ์ตรงนี้มันได้เป็นคำบอกเล่าของคนที่ได้อยู่ตรงนั้นเขาได้บอกเอาไว้ว่าในทุกๆวันเขาจะเห็นหญิงสาวชานพม่าคนนี้ออกมารดน้ำดูแลต้นไม้เก็บกวาดซักผ้าปูที่นอนอยู่ทุกวันแต่มีอยู่วันหนึ่งไม่เห็นผู้หญิงคนนี้ออกมาจากบ้านเลยแล้วบ้านที่มีต้นไม้ก็ขึ้นรกขึ้นไปเรื่อยๆแต่มันไม่ได้มีการดูแลแต่อย่างใด

นอกจากนี้มีอยู่วันหนึ่งผู้หญิงคนนี้ที่เป็นแรงงานชาวพม่าเขาก็ได้ออกมาทำหน้าที่ของเขาต่อแต่มันมีลักษณะที่มันดูแปลกๆขึ้นนั่นก็คือเพื่อนบ้านที่เห็นผู้หญิงคนนั้นเขาก็มีการทักทายได้มีการพูดคุยกับผู้หญิงคนนั้นแต่ก็ไม่ได้รับการตอบกลับจากหญิงสาวชาวพม่าคนนั้นเลย

ซึ่งการทำงานต่างๆที่เกิดขึ้นในเวลานั้นมีความช้าและสิ่งต่างๆที่ทำไปมันเหมือนไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้นและมันมีความรกร้างไปมากกว่าเดิมอีกด้วย

โดยเหตุการณ์ตรงนี้มันก็ได้สร้างความสงสัยและความประหลาดใจให้กับเพื่อนบ้านมากและมันได้มีอยู่วันหนึ่งที่เกิดเหตุการณ์ที่รุนแรงมากที่สุดนั่นก็คือมีอยู่วันหนึ่งเพื่อนบ้านขับรถผ่านมาหน้าบ้านแห่งนั้นและเจอหญิงสาวชาวพม่าคนนี้ยืนนิ่งๆขวางถนนอยู่ที่หน้าบ้านเพื่อนบ้านเลยถามว่ามายืนทำอะไรคนเดียวจากนั้นก็ไม่ได้รับการตอบกลับแต่อย่างใดเธอค่อยๆหันหน้ามาหน้าหญิงชาวพม่ามีใบหน้าที่เน่าไปหมดเหมือนศพที่ตายไปแล้วไม่ต่ำกว่า2เดือน

 

สนับสนุนเรื่องราวโดย  หวยออนไลน์บาทละ 950

ประวัติกติกาของการเล่นกีฬาฟุตซอล

หลังจากที่กีฬาฟุตซอล หรือเกมการแข่งขันฟุตบอลในร่มที่มีผู้เล่นฝ่ายละ 5 คน เริ่มเป็นที่แพร่หลายกันมาตั้งแต่ปี 1982 จนทำให้กีฬาชนิดนี้ถูกบรรจุเข้ามาเป็นการแข่งขันฟุตซอลชิงแชมป์โลกอย่างเป็นทางการตั้งแต่ปี 1989 จนมาถึงทุกวันนี้

กีฬาชนิดนี้ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากมายในกลุ่มคนทั่วไปเนื่องจากไม่จำเป็นต้องเล่นกลางแดดอีกต่อไป และยังใช้จำนวนผู้เล่นไม่เยอะเพียงแค่ฝ่ายละห้าคน ก็สามารถเล่นกันได้สนุกสนานแล้ว แถมพื้นที่ยังไม่จำเป็นต้องใหญ่เท่าสนามฟุตบอลจริงแต่อย่างใด แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม

กีฬาชนิดนี้ก็ต้องถูกบรรจุในกีฬาสากลและมีมาตรฐานการกีฬาและกติกาเหมือนอย่างเช่นกีฬาฟุตบอลด้วยเช่นกัน ซึ่งกีฬาชนิดนี้ถือว่าเป็นกีฬาที่จัดแข่งขันในระดับโลกแล้ว โดยกติกาที่ว่านั้น จะถูกกำหนดให้แต่ละทีมนั้นสามารถส่งรายชื่อนักเตะเข้าร่วมทำการแข่งขันในแต่ละนัดได้ไม่เกิดสิบสองคน

และจะลงสนามได้เพียงครั้งละห้าคนเท่านั้น ซึ่งในห้าคนนี้จะต้องรวมผู้รักษาประตุแล้ว แต่สำหรับตำแหน่งผู้รักษาประตูนั้นจะสามารใช้มือได้ก็ต่อเมื่ออยู่ในกรอบเขตโทษของตัวเองเท่านั้น ซึ่งที่ต้องย้ำกติกาตรงข้อนี้ก็เนื่องจากว่า ทีมสมัยใหม่นั้น

มักจะใช้ตำแหน่งผู้รักษาประตูนั้น ทำหน้าที่เป็นกองหลังตัวสุดท้ายด้วยเช่นกันเพื่อความได้เปรียบในเรื่องของเกมบุก ส่วนการเปลี่ยนตัวผู้เล่นในแต่ละนัดนั้น จะไม่จำกัดจำนวนครั้ง และเปลี่ยนได้ทุกคน ทุกเวลา ส่วนในช่วงการแข่งขันนั้นหากมีทีมใดที่มีนักเตะลงสนามหรืออยู่ในสนามน้อยกว่าสามคน

นั้นจะถูกปรับแพ้ฟาวล์โดยทันที (บางทีมอาจจะมีผู้เล่นในสนามได้รับใบแดง) และในส่วนเวลาของการแข่งขันนั้น จะกำหนดไว้เป็นสองช่วงเวลาคือครึ่งแรกและครึ่งหลัง คือครั้งละ 20 นาที และในแต่ละครึ่งนั้น แต่ละทีมจะสามารถขอเวลานอกได้ครั้งละหนึ่งนาที ต่อหนึ่งช่วงเวลา

ส่วนการตัดสินผลแพ้ชนะนั้น ก็จะยึดเมื่อการแข่งขันฟุตบอลทั่วไปคือนับที่จำนวนประตูเช่นเดียวกัน ซึ่งในปัจจุบันนั้น แต่ละประเทศก็เริ่มมีการพัฒนาเป็นการแข่งขันแบบลีกคือระบบพบกันหมดและเป็นแชมป์ในแต่ละประเทศ รวมไปถึงการจัดการแข่งขันฟุตซอลถ้วยชิงแชมป์ และก็มีการลงทะเบียนขึ้นเป็นนักฟุตซอลอาชีพด้วย

ไม่ต่างกับฟุตบอลอาชีพเลยทีเดียว ก็เรียกได้ว่าเป็นทางเลือกหนึ่งสำหรับคนชอบกีฬาประเภทนี้ ที่ดูสนุกและเร้าใจไม่ต่างกับการแข่งขันฟุตบอลจริงๆ จนหลายๆนักเตะที่เคยฟุตบอลอาชีพก็เริ่มผันตัวเองมาเล่นฟุตซอลกันบ้างแล้ว

 

สนับสนุนโดย  หวยออนไลน์ขั้นต่ำ 1 บาท

ตำนาน บาเกะเนโกะ ของญี่ปุ่น  ปีศาจแมว     

           ตำนานความเชื่อของคนชาวญี่ปุ่นนั้นมีมามีมาตั้งแต่สมัยโบราณ ซึ่งความเชื่อของคนญี่ปุ่นนั้นแบ่งออกเป็นความเชื่อเกี่ยวกับแมว 2 ส่วนก็คือความเชื่อเกี่ยวกับแมวที่เป็นแมวด้านดีให้โชคให้ลาภแต่อีกส่วนหนึ่งก็จะเป็นแมวปีศาจซึ่งคอยจำแลงร่างกายมากัดกินมนุษย์

ซึ่งในสมัย เอโดะ นั้นได้มีการพูดถึงปีศาจแมวที่ชื่อว่าบาเกะเนโกะ โดยมีการเชื่อกันว่าในสมัยเอโดะนั้นปีศาจแมว บาเกะเนโกะ  มักจะออกอาละวาดยามค่ำคืน โดยสมัยก่อนนั้นมนุษย์มักจะนำแมวมาเป็นสัตว์เลี้ยงเอาไว้ใช้งานโดยมันจะมีหน้าที่ในการช่วยกำจัดหนูและเมื่อมันทำงานสำเร็จสามารถจัดการกับหนูได้คนที่เลี้ยงแมวนั้น

ก็จะให้รางวัลมันด้วยการให้อาหารมันกินแต่อย่างไรก็ตามอาหารที่พวกแมวได้กินนั้นก็ไม่เพียงพอต่อความต้องการของพวกมัน ดังนั้นพอช่วงเวลาในการคืนแมวต่างๆที่มันยังไม่อิ่มมันจึงได้พยายามออกหาอาหารในช่วงเวลากลางคืนและอาหารที่มันกินได้ในยามค่ำคืนของประเทศญี่ปุ่นซึ่งหากินได้ภายในบ้านของเจ้านายของพวกมันนั่นก็คือน้ำมันตะเกียง

เหตุที่แมวกินน้ำมันตะเกียงนั่นก็เพราะว่าน้ำมันตะเกียงของคนญี่ปุ่นนั้นทำมาจากน้ำมันของปลาและไข่ปลาวาฬ ซึ่งขณะที่แมวเหล่านั้นกินน้ำมันตะเกียงอยู่แสงสะท้อนของเงาที่ส่งไปกระทบกับผนังจะทำให้เราเห็นว่าแมวที่ยืนกินน้ำมันตะเกียงอยู่นั้น

มีลักษณะคล้ายกับคนที่กำลังยืนอยู่ ทำให้คนที่ผ่านมาเห็นเงาของแมวที่กำลังกินน้ำมันตะเกียงนั้นเข้าใจผิดคิดว่าเงานั้นคือเงาของปีศาจ ชาวญี่ปุ่นเชื่อกันว่าเมื่อแมวบ้านที่พวกเขาเลี้ยงเอาไว้นั้นมีอายุเกิน 13 ปีขึ้นไปแมวนั้นจะกลายร่างเป็นบาเกะเนโกะทันที เนื่องจากว่าพวกเขาสังเกตเห็นว่าเมื่อแมวอายุมากกว่า 13 ปี

ห่างของพวกมันก็จะยาวขึ้นและตัวมันก็จะดูสูงขึ้นที่สำคัญพวกมันสามารถยืน 2 ขาได้และสามารถเลียนเสียงมนุษย์ได้อีกด้วย และในที่สุดแมวเหล่านั้นก็จะสามารถกลายร่างแปลงเป็นคนได้และกลายเป็นปีศาจร้ายที่น่ากลัว ซึ่งชาวบ้านยังร่ำลือกันอีกว่าปีศาจแมวที่กลายร่างเป็นคนได้นั้นมันจะสามารถกินสัตว์ได้ทุกชนิด

แม้ว่าสัตว์ตัวนั้นจะมีขนาดใหญ่กว่ามันก็ตามหรือสัตว์ชนิดนั้นจะมีพิษพวกมันก็สามารถกินได้ และมันสามารถกลายร่างเป็นคนได้หากมันกินคนคนนั้นเข้าไปทำให้ผู้คนต่างก็พากันหวาดกลัว ยามค่ำคืนจึงมักไม่ค่อยมีใครออกมาเดินนอกบ้าน แต่อย่างไรก็ตามปัจจุบันนั้นคนประเทศญี่ปุ่นมีความผูกพันกับแมวที่มีชื่อเสียงทางด้านดี ดังที่เราจะได้เห็นรูปปั้นที่มีแมวกักมือเรียกนั่นเอง

 

สนับสนุนโดย  v9bet

ตำนานรามายณะ

เรื่องราวการค้นพบแนวหินที่ดุเหมือนคล้ายกับสะพานที่เชื่อมต่อระหว่างประเทศอินเดียและประเทศศรีลังกาที่ทางนาซาได้เป็นผู้ถ่ายนี้ขึ้นมาเองจากดาวเทียมของทางนาซา สำหรับนักโบราณคดีและนักประวัติศาสตร์ยังคงเป็นเรื่องที่ได้มีการถกเถียงกันอยู่ที่เกี่ยวกับสะพานแห่งนี้

รวมไปถึงตำนานรามายณะที่ได้ถูกเขียนเอาไว้ในคัมภีร์พระเวทว่ามันเคยเป็นเรื่องที่ได้เกิดขึ้นมาจริงหรือไม่ ถึงคงแม้ว่าเรื่องราวในการต่อสู่มันจะถูกเคียงกับเรื่องจริงในประวัติศาสตร์ที่ได้เป็นหารต่อสู้กันในระหว่าง ชาวมาลายัน

และ ชาวดราวิเดียนจากการพบหลักฐานแล้วได้บอกเอาไว้ว่ามันคือเรื่องจริงที่มันได้เคยเกิดขึ้นแต่สำหรับนักวิจัยมนุษย์ต่างดาวกลับได้มีความน่าสนใจไปมากกว่านั้น ชาวมาลายัน ซึ่งน่าจะคือกลุ่มของพระรามได้มีบันทึกว่าได้สืบเชื้อสายมาจากพระเจ้าที่ได้มาจากบนฟ้า

พวกเขาได้มายานพาหนะที่เรียกว่าวิมานะสามารถบินในอากาศได้ก่อนที่มนุษย์ในยุคปัจจุบันจะสามารถค้นพบเครื่องบินนับหมื่นนับแสนปียานวิมานะของงพวกเขาได้มีความใกล้เคียงกันกับยูเอฟโอของมนุษย์ต่างดาวแถมอาวุธของพวกเขาที่ได้นำเอามาใช้ในการต่อสู้กันยังได้มีอนุภาพที่ร้ายแรงเทียบเท่ากับระเบิดนิวเคลียร์

อีกทั้งยังได้มการค้นพบสารกัมมันตรังสีในเมืองโบราณที่ได้ล่มสลายเหล่านี้ด้วยสะพานพระรามในตำนานรามายณะได้ถูกสร้างขึ้นด้วยกองทัพว่านอน เมื่อประมาณ1.75ล้านปีก่อนข่าวจากนาซาองค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติของสหรัฐที่ได้เคยเผยแพร่ภาพของสะพานโบราณ ซึ่งได้มี่อายุกว่า1.75ล้านปี

ที่ได้เชื่อมต่อระหว่างอินเดียกับศรีลังกาได้ถูกนำเอากลับมาเผยแพร่ใหม่อีกครั้ง เมื่อวันที่4มีนาคม ปี2016 ถึงแม้ว่าข่าวดังกล่าวมันจะถูกกล่าวถึงมาแล้วหลายครั้งตั้งแต่ปี2002 ซึ่งมันได้เป็นช่วงเวลาที่อินเตอร์เน็ตมันก็ได้เริ่มเป็นที่แพร่หลายไปทั่วโลกสะพานพระรามตามตำนานรามายณะได้อ้างว่ากองทัพว่านอนและหนุมานได้เป็นผู้สร้างขึ้น

โดยได้ก่อรากฐานด้วยท่อนไม้ก่อนที่จะก่อทัพด้วยก้อนหินชิ้นน้อยใหญ่เพื่อให้กองทัพของพระรามสามารถที่จะเดินทางข้ามทะเลไปช่วยเหลือนางสีดาจากทศกัณฐ์ที่กรุงลงกาได้ เมื่อราวปลายปี2002 ทานาซาก็ได้เผยแพร่ภาพจากอวกาศของช่องแคบ

ซึ่งก็ได้แสดงให้เห็นถึงแนวสันทรายที่ได้เชื่อมต่อกับเกาะศรีลังกาและเกาะอินเดียได้อย่างชัดเจนภาพดังกล่าวได้ถูกนำเอาไปโยงกับตำนานรามายณะที่ได้กล่าวมาข้างต้นพร้อมกับแต่งเติมเรื่องราวเข้าไปอีกว่านาซาได้เป็นผู้ยืนยันอีกว่าสะพานดังกล่าวถูกสร้างขึ้นโดยมนุษย์เมื่อประมาณ1.75ล้านปีก่อน

 

ขอขอบคุณ  ทางเข้า entaplay  ที่ให้การสนับสนุน

เมืองที่เรามองไม่เห็นหรือบเมืองลับแล

ซึ่งเราอยากจะบอกว่าเรื่องตำนานของเมืองลับแลนั้นมันไม่ใช่ว่ามันจะเป็นที่ใดที่หนึ่งในประเทศไทยแต่คำว่าเมืองลับแลของเรานั้นเราได้เปรียบเสมือนว่ามันได้เป็นเมืองโบราณที่เราไม่สามารถที่จะพบเจอได้หรือเป็นเมืองที่ไทด้หลบซ้อนอยู่แต่เรานั้นไม่สามารถที่จะหามันเจอซึ่งตรงนี้มันเป็นความหมายของเมืองลับแลในความคิดของเรา

ซึ่งเรื่องนี้มันได้มีการอ้างอิงมาจากเรื่องตำนานพญานาคด้วยเพราะว่าสถานที่ที่เขาได้มีการพูดถึงกันเยอะมากที่สุดคือป่าคำชะโนดมันได้มีเรื่องของพญานาคอยู่แต่ว่าเราจะไม่พูดถึงเรื่องของพญานาคแต่เราจะพูดถึงเรื่องเมืองที่เรามองไม่เห็นเท่านั้น

ถ้าจะให้พูดถึงเมืองลับแลเราขอแยกเป็นบางกรณีๆไป สำหรับกรณีแรกก็คือเรื่องของความเชื่อคือคนเฒ่าคนแก่หลายๆภูมิภาคเขาก็ได้มีการเล่าต่อกันมาเล่าถึงเรื่องเมืองลับแลเมืองที่เคยมีการพบเจอและอยู่ดีๆวันใดวันหนึ่งเมืองแห่งนี้มันได้หายไปเพราะด้วยเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่งบางก็ว่าหายไปเป็นสิบปีแต่กลับมาอีกทีมาบอกว่าพึ่งจะเข้าป่าไปหนึ่งชั่วโมง

บางคนก็ชอบหลงป่าบางคนก็ได้ไปเจอเมืองๆหนึ่ง ซึ่งมันก็แทบจะเป็นไปไม่ได้มันจะมีอยู่เมือง เมืองหนึ่งที่ได้อยู่ในกลางป่าใหญ่และคำพูดของผู้หลักผู้ใหญ่บางคนเขาก็ได้บอกว่าการแต่งตัวมันเหมือนย้อนยุคไปเลยแต่งตัวเป็นชุดราชสีขาวโจงกระเบนและมันอยู่ในป่า ซึ่งมันยิ่งเป็นไปไม่ได้อย่างแรง

ซึ่งตรงนี้ทเราก็เลยไปสืบหาข้อมูลมาเบื้องต้นเขาได้บอกว่าตำนานเกี่ยวกับเมืองลับแลที่ได้มีคนพูดถึงเยอะมากที่สุดและได้มีคนเชื่อทกันมาที่สุดนั้นก็คือมันจะอยู่ที่ป่าคำชะโนดในจังหวัดอุดรธานีแต่ตรงนี้เขาก็ยังยื่นยันว่าเมืองลับแลมันได้มีอยู่ทุกๆที่มันไม่จำเป็นที่จะต้องอยู่ที่จังหวัดอุดรธานีอย่างเดียว

แต่สถานที่นี้คือได้มีชื่อเสียงและดังมากที่สุดนั่นเสองถ้าจะเอาตามตำนานที่ได้มีคนแก่เขาได้เล่ากันต่อๆกันมาและได้เชื่อกันมาที่สุด ซึ่งเขาได้เล่าเอาไว้ว่าคนพื้นเมืองในสมัยก่อนนั้นที่เขาได้อาศัยอยู่ในพื้นรบริเวณป่าเขาก็จะมีวิถีการดำรงชีวิตทั่วไปก็คือการเข้าป่าเพื่อหาอาหารหาหน่อไม้ล่าสัตว์เพื่อนำเอามาประกอบอาหารในการประทังชีวิต

และก็ได้เข้าไปเอาน้ำที่แม่น้ำลำธารเพื่อเอามาใช้เพื่อนำเอามาดื่มเขาก็จะมีวิถีประมาณนี้สำหรับคนที่ได้ใช้อยู่ใกล้ๆป่าหรืออยู่ในป่าเป็นสิบๆปีและคนเล่านี้เขาก็จะชำนานทางในป่ามากก็คือใช้ชีวิตอยู่ตรงนี้ยังไงมันก็ไม่มีทางหลงอย่างแน่นอน

 

สนับสนุนโดย  entaplay pantip

ตำนาน ยักษ์โกไลแอธ

          สำหรับตำนานของยักษ์ทั่วโลกที่มีการพูดถึงกันมากตนหนึ่งนั้นก็คือ ตำนานของยักษ์ที่มีชื่อว่า โกไลแอธ  เนื่องจากมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับยักษ์โกไลแอธ ว่าได้มีหนุ่มน้อยคนหนึ่งที่เป็นเด็กเลี้ยงแกะที่มีชื่อว่า เดวิด และยักษ์ที่เป็นชาว ฟิริสไทม์ ที่มีชื่อเรียกว่า ยักษ์โกไลแอธ

ซึ่งเรื่องนี้ได้มีการบันทึกเอาไว้ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลของศาสนาคริสต์ โดยในตำนานมีการบันทึกเกี่ยวกับเรื่องนี้เอาไว้ว่า ยักษ์โกไลแอธ ได้เดินทางมาระรานชาวเอสราเอล และยังมีการท้าประลองกับนักสู้ของประเทศอิสราเอลทุกคนด้วยว่าหากใครก็ตามที่คิดว่าตัวเองนั้นแข็งแกร่ง

ก็ให้มาต่อสู้กับตนเอง และแน่นอนว่าต่อให้เก่งกาจมากแค่ไหน แต่ก็คงไม่มีใครอยากทีจะต่อสู้กับยักษ์แน่นอน ดังนั้น ในวงล้อมที่มีผู้คนอยู่เยอะแยะเต็มไปหมดจึงไม่มีใครกล้าที่จะเข้าไปต่อสู้กับยักษ์โกไลแอธเลย

จนในที่สุดก็มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งเขาเดินฝ่าวงล้อมเข้าไปเพื่อไปยืนต่อหน้าของยักษ์โกไลแอธ ซึ่งเด็หนุ่มคนดังกล่าวนั้น มีอาวุธเพียงแค่หินก้อนเดียวเท่านั้น ในขณะที่ยักษ์โกไลแอธนั้นมีอาวุธครบมือเลยทีเดียว แต่อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าจะมีแค่หินแค่ก้อนเดียวเท่านั้น แต่เด็กหนุ่มคนดังกล่าวก็สามารถเอาชนะเจ้ายักษ์โกไลแอธได้ด้วยการขว้างก้อนหินในมือไปโดนที่หน้าผากของยักษ์โกไลแอธ

เข้าอย่างจังจนทำให้มันล้มลงและสามารถเอาชนะยักษ์โกไลแอธได้ในที่สุด และถึงแม้ความเชื่อนั้นจะมีการระบุเอาไว้ว่าโกไลแอธ นั้นคือยักษ์ที่มีรูปร่างที่สูงใหญ่ แต่ความเป็นจริงแล้ว ยักษ์โกไลแอธ อาจจะไม่ใช่ยักษ์จริงจริงก็ได้ นั่นก็เพราะว่าตามข้อมูลแล้วยักษ์โกไลแอธ นั้นมีความสูงเพียงแค่ 2-3 เมตรเท่านั้นเอง

ซึ่งหากเมื่อนำความสูงของยักษ์โกไลแอธไปเทียบกับความสูงของยักษ์ตัวอื่นอื่นนั้น ความสูงของยักษ์โกไลแอธ กลายมาเป็นยักษ์แคระไปเลยทีเดียว ดังนั้นอาจจะเป็นไปได้ว่ายักษ์โกไลแอธ นั้นก็เป็นเพียงแค่คนธรรมดา ที่มีความสูงเกินมาตรฐานของคนทั่วไปเท่านั้นเอง

        อย่างไรก็ตามตำนานความเชื่อเกี่ยวกับยักษ์โกไลแอธ นี้ยังคงมีอยู่และยังคงมีการเผยแพร่กันอย่างกว้างขวางในกลุ่มของคนที่นับถือศาสนาคริสต์ เพราะจะมีคำสอนและมีการพูดถึงยักษ์โกไลแอธ นี้อยู่มาจนถึงปัจจุบัน 

ซึ่งเรื่องนี้อาจจะเป็นเรื่องจริงที่นำมาสร้างเป็นตำนานเพียงแต่อาจจะมีการดัดแปลงจากคนธรรมดาให้กลายมาเป็นยักษ์เนื่องจากรูปร่างที่สูงใหญ่ของโกไลแอธ มีความใหญ่โตคล้ายกับยักษ์นั่นเอง

 

ขอขอบคุณ รวมเว็บหวยออนไลน์  ที่ให้การสนับสนุน

ยุคก่อนประวัติศาสตร์ได้มีเหตุการณ์น้ำท่วมโลกจริงหรือเปล่า

ในอดีตนั้นได้เคยเกิดน้ำท่วมใหญ่และพื้นที่ที่จะเกิดขึ้นหลังจากน้ำเริ่มแห้งก็คือภูเขาอารารัต ซึ่งเราว่ามันน่าแปลกใจมากเลยว่าในตำนานที่คนเฒ่าคนแก่หรือที่ได้บอกต่อกันมาได้พูดถึงกันว่าได้มีเรือโนอาได้เข้ามาจอดที่ตรงจุดนี้และมันได้ไปตรงกันกับในพระคัมภีร์ ไบเบิล

และยังได้มีการค้นพบซากเรือโบราณที่อยู่บนภูเขาอารารัตอีกด้วยและในช่วงที่เรากำลังหาข้อมูลเกี่ยวกับน้ำท่วมโลกเรือโนอา คือจะบอกว่าตำนานนี้มันไม่ได้มีมาแค่ในช่วง200ปีคือการตามหาเรือโนอาหรือหลักฐานที่ได้บอกว่าได้มีการค้นพบมันมีมาตั้งแต่ประมาณ5-800ปีที่แล้ว

ในบันทึกที่เก่าที่สุดที่เราได้ไปหาข้อมูลมาแล้วเจอมาเขาได้บอกเอาไว้ว่าในช่วงศตวรรษที่14ประมาณปี1356ได้มีหนังสือที่ชื่อว่าTrcvel of Sir john Mandevilleในหนังสือเล่มนั้นได้เล่าว่าได้มีนักบวชคนหนึ่งได้เก็บเศษไม้โบราณจากยอดเขาอารารัตได้แต่ว่าตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบันก็ยังไม่มีใครรู้ว่าSir john Mandevilleในหนังสือคือใคร

และได้มีตัวตนจริงหรือเปล่าแต่มันได้มีหนังสือเล่มนี้จริงๆอยู่บนโลก ซึ่งตามที่ได้มีการบันทึกเอาไว้ของSir john Mandevilleเก่ามากที่สุดใช่หรือไม่ในช่วงตั้งแต่ระยะเวลาปี1300กว่าๆจนถึงปี2000ต้นๆที่เราเห็นที่ยังได้มีการค้นคว้าหาความลับเกี่ยวกับเรื่องของเรือโนอาแล้วก็อดีตที่ผ่านมามันเคยมีน้ำท่วมโลกจริงหรือเปล่า

แต่ข้อมูลตรงนี้มันค่อนข้างที่จะเยอะมากๆและเราก็อยากจะบอกว่าตำนานของเรือโนอานี้ได้มีการกล่าวถึงเรื่องน้ำท่วมโลกแล้วในอดีตมันได้มีน้ำท่วมโลกจริงหรือเปล่าตามข้อมูลที่ได้เราได้ไปหามาเราขอบอกเลยว่าเคยแต่มันอาจจะไม่ได้รุนแรงถึงขนาดน้ำท่วมโลกทั้งใบโดยที่ไม่มีพื้นดินอยู่เลย

มันก็คงจะไม่ขนาดนั้นแต่มันได้เคยมีเหตุการณ์ใหญ่ที่ล้างบางมนุษย์และสัตว์จนได้เกิดเป็นทะเลที่หนึ่งขึ้นมาที่ได้มีชื่อว่า ทะเลดำ’Black Sea ซึ่งน้ำท่วมนี้เราขออ้างอิงมาจากมหากาฬสุเมเรียน ก็คือ มหากาฬของกิลกาเมช 

ซึ่งในมหากาฬนี้เขาได้บอกเอาไว้ว่าพระเจ้าที่โศกเศร้าทำให้เกิดน้ำท่วมใหญ่เพื่อที่จะลงโทษและชำระผู้คนที่เป็นบาป ซึ่งตำนานนี้ก็ได้มีนักวทาศาสตร์อยู่ด้วยสองท่านที่เขาอยากจะรู้ด้วยว่าในอดีตนั้นมันเคยมีน้ำท่วนโลกจริงหรือเปล่าได้มาศึกษาค้นคว้าวิจัยซึ่งนักวิทยาศาสตร์สองคนนั้นก็คือWalter Pitman และ William Ryan

โดยทั้งคู่นั้นเขาได้เชื่อว่าตำนานในเรื่องเกี่ยวกับน้ำท่วมโลกและเรือโนอาได้สะท้อนถึงภัยพิบัติในช่วงของยุคก่อนประวัติศาสตร์และมันน่าจะเป็นประโยชน์กับการค้นคว้าวิจัยเรื่องของอนาคตว่าน้ำจะท่วมโลกจริงหรือเปล่าจากการศึกษาในอดีตที่ผ่านมานั่นเอง

 

ขอขอบคุณ  entaplay เครดิต ฟรี  ที่ให้การสนับสนุน

ตายแล้วฟื้นมีอยู่จริง

ชีวิตหลังความตายมันมีอยู่ใช่หรือไม่และก็ชีวิตหลังความตายนั้นเป็นอย่างไร?

ในกรณีของมนุษย์ที่ได้เสียชีวิตไปแล้ว แล้วจะกลับมารู้สึกตัวอีกรอบหนึ่งเปอร์เซ็นมันเกือบเป็บศูนย์แต่ว่ามันได้มีบางกรณีที่เสียชีวิตไปแล้วกลับมารู้สึกตัวมีชีวิตอีกครั้ง ซึ่งเกิดขึ้นในประเทศไทยแล้วก็ต่างประเทศพวกเราก็ตกใจอยู่เช่นเดียวกันว่าคนอะไร ตายไปแล้วฟื้นกลับมาได้หรือ

จริงๆทางหลักวิทยาศาสตร์เขาก็ได้อ้างอิงเอาไว้ว่าจริงๆร่างกายมนุษย์เรามันบางทีก็อาจจะยังไม่ตายร้อย%แต่ว่าพวกเราลองคิดภาวะหัวใจหยุดเต้นร่างกายเย็นแต่ว่ามนุษย์เรากลับมามีชีวิตได้อย่างไร รวมทั้งบางบุคคลเซลล์ที่อยู่ภายในร่างกายบางส่วนมันได้ตายไปและจากนั้นก็เลยแปลกใจว่ามันเป็นอย่างไร

ยกตัวอย่างในประเทศไทยพวกเรามันจะมีอยู่กรณีหนึ่งที่ได้มีน้องคนหนึ่งที่ได้เสียชีวิตไปน้องมีอายุโดยประมาณ10ขวบราวๆ5-6ปีที่ผ่านมาที่น้องนั้นได้ตายไปแล้วทางเครือญาติหรือแพทย์ก็ได้จับตัวน้องตัวน้องยังอุ่นๆแต่ว่าจู่ๆน้องเขาก็ได้ฟื้นขึ้นมาจากความตาย

แต่ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นก็คือภายหลังที่ร่างกายตายไปได้ช่วงเวลาก็ยาวนานหลายวันสิ่งที่เกิดขึ้นก็คือเซลล์ภายในร่างกายของน้องได้ตายไปบางส่วนแล้วรวมทั้งมือของน้องก็ได้เป็นเนื้อแห้งๆแข็งไม่อาจจะขยับมันได้แล้วถ้าหากจะเอาง่ายๆมันก็จะอย่างกับศพของมันมี่เนื้อมันแห้งๆไม่อาจจะขยับได้

ซึ่งเรื่องราวนี้มันได้เกิดขึ้นในประเทศไทย พวกเราก็เลยตกใจว่ามนุษย์เราเมื่อตายไปแล้วมันสามารถกลับมารู้สึกตัวได้อีกหรอมันหน้าประหลาดใจมากแล้วอย่างในกรณีนี้มันไม่ใช่กรณีแรกที่เกิดขึ้นในประเทศไทยมันเคยมีกรณีก่อนหน้าที่ผ่านมาถ้าหากผู้ใดไปพบอ่านข่าวสารได้ว่ามันได้มีคนบางบุคคลเสียชีวิตไปแล้ว

ร่างกายนั้นเย็นมากแต่ว่าฟื้นขึ้นมาได้ทางแพทย์ก็เลยสับสนมันเกิดอะไรขึ้นด้านวิทยาศาสตร์ก็ยังบอกมิได้แต่ว่าเขาได้คาดคะเนกันว่าราวกับร่างกายมันช็อกทุกสิ่งทุกอย่าง มันหยุุดปฏิบัติงานไปแล้วแล้วก็ราวกับร่างกายมันกลับมาได้มันก็ยังไม่มีหลักฐานรับรองทางด้านวิทยาศาสตร์ได้ว่ามนุษย์เราสามารถหยุดร่างกายราวกับดับร่างกายแล้ว

เปิดขึ้นมาใหม่มันก็ยังไม่มีนักวิทยาศาสตร์ผู้ใดที่จะพิสูจน์ได้หรือมีหลักฐานสำหรับในการรับรองมันก็เลยนึกไม่ออกว่ามันได้เกิดมาจากอะไร ซึ่งในขณะนี้มนุษย์เราก็ยังไม่รู้ในต่างประเทศใช่ว่ามันจะไม่มีในต่างประเทศก็มีบางบุคคลอยู่ในโลงศพกำลังเอาเข้าเตาเผาแล้วจู่ๆราวกับมีเสียงเคาะออกมาจากโลงศพที่มีคนเสียชีวิตปรากฎผู้ที่เสียชีวิตที่นอนอยู่ในโลงศพยังไม่เสียชีวิตแต่ว่าถึงจะอย่างไรก็ยังโชคดีที่ยังไม่ถูกเผาทั้งที่ยังไม่ตาย

 

สนับสนุนโดย  entaplay ดี ไหม