ประวัติของ พระเจ้าอักบาร์มหาราช

       สำหรับประวัติความเป็นมาของ พระเจ้าอักบาร์มหาราช นั้น พระองค์เป็นกษัตริย์ที่ครองราชย์มาแล้ว หลาร้อยปี และตอนที่พระองค์ขึ้นครองราชย์ นั้นพระองค์ เป็นกษัติย์ที่ได้รับการยอมรับมากที่สุดพระองค์หนึ่ง    พระสมัยของพระองค์ถือได้ว่าเป็นยุคที่รุ่งเรืองมากที่สุดของจักรวรรดิโมกุลในประเทศอินเดียเลยทีเดียว 

    นอกจากความสามารถอันเก่งกาจที่ พระเจ้าอักบาร์มหาราช ที่ทรงสามารถแผ่ขยายดินแดนอินเดียได้อย่างกว้างขวางแล้วความยิ่งใหญ่ของพระองค์ยังอยู่ที่การให้เสรีภาพในการนับถือศาสนาของประชาชนอีกด้วย  โดยพระเจ้าอักบาร์มหาราช นั้นพระองค์มมีวิธีการต่างต่างมากมายในการปกครองประชาชน และการปกครองของพระองค์นั้นก็มีความต่างจากกษัตริย์มุสลิมองค์อื่นอื่นที่ผ่านมามากเลยทีเดียว 

       เนื่องจากว่าหากเป็นกษัตริย์องค์อื่นอื่นนั้น มักจะกีดกันคนนอกศาสนาอยู่เสมอ แต่สำหรับ พระเจ้าอักบาร์มหาราช นั้นพระองค์ทรงมอบเสรียภาพให้กับประชาชน ที่จะเลือกนับถือศาสนาอะไรก็ได้ สำหรับเสรีภาพที่ว่าก็อย่างเช่นทรงแต่งตั้งขุนนางและข้าราชการต่างๆสมัยโมกุลโดยปราศจากอคติทางศาสนา  

     พระองค์ทรงริเริ่มศานาใหม่ในรัชสมัยของตัวเอง โดยมีการตั้งชื่อว่าศาสนา ดินอิอิลาฮี หรือแปลว่าชนะแห่งพระเจ้าซึ่งเป็นความพยายามที่จะรวบรวมศาสนาอิสลามเท่ากับคริสต์อินดู เชนและศาสนาอื่นเพื่อป้องกันความขัดแย้งทางศาสนาที่จะเกิดขึ้นระหว่างประชาชน  และไม่เพียงเท่านั้น 

พระเจ้าอักบาร์มหาราชยังกระทำการที่แตกต่างจากกษัตริย์มุสลิมยุคก่อนอย่างสิ้นเชิงเช่นพระองค์ให้การสนับสนุนให้ผู้ที่นับถือศาสนาต่างกันมีกิจกรรมทางศาสนาที่สามารถทำร่วมกันได้

     พระเจ้าอักบาร์มหาราช ทรงเปิดรับวิทยาการจากทุกศาสนาดังจะเห็นได้จากการที่มีที่ปรึกษาเป็นนักปราชญ์หลายศานาด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นชาวพุทธ   คริสต์   อิสลามและฮินดู   ทรงสั่งให้ยกเลิกการจ่ายภาษี ซีซียา จากบุคคลผู้นับถือศาสนาอื่น

ที่ไม่ใช่มุสลิมและอื่นๆ อีกมากมายด้วยพระอัจฉริยภาพและทัศนคติที่ล้ำสมัยเปิดกว้างดังนี้จึงไม่เป็นที่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมตลอดระยะเวลาแห่งการครองราชย์ครั้ง 49 ปีถือเป็นช่วงเวลาที่ราชวงศ์โมกุลเจริญรุ่งเรืองถึงจุดสูงสุดแข็งแกร่งที่สุดและมีราชอาณาเขตกว้างไกลที่สุด 

     อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าในปัจจุบันนี้ผู้คนในแต่ละประเทศนั้นจะมีการนับถือศาสนาที่มีความแตกต่างกันออกไปแต่ทุกคนก็สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุขและไม่มีปัญหาทางศาสนาเข้ามาเกี่ยวข้อง

ซึ่งคนต่างศาสนาปัจจุบันก็สามารถแต่งงานกันได้และใช้ชีวิตด้วยกันได้ไม่มีการทะเลาะเบาะแว้งซึ่งกันและกันดังนั้นอาจกล่าวได้ว่าพระเจ้าอักบาร์มหาราชนั้นคือต้นแบบของการให้คนที่นับถือต่างศาสนากันสามารถอยู่ร่วมกันของทุกศาสนาได้อย่างมีความสุขนั่นเอง 

 

สนับสนุนโดย.    aesexy

ประวัติข้อมูลของประเทศอินเดีย

         เชื่อว่าหลายคนรู้จักประเทศอินเดียกันเป็นอย่างดีเนื่องจาก ข้อมูลของประเทศอินเดีย นั้นนับเป็นประเทศหนึ่งที่ติดอันดับที่มีประชากรมากที่สุดและอาจจะกล่าวได้ว่ามีประชากรน้อยกว่าประเทศจีนเพียงประเทศเดียวเท่านั้นสำหรับประเทศอินเดียยังนับเป็นประเทศที่มีขอทานมากที่สุดในโลกเลยก็ว่าได้นับเป็นประเทศที่มีความยากจนติดอันดับโลก

  เกี่ยวกับ ข้อมูลของประเทศอินเดีย นั้นได้มีการก่อตั้งตนเองขึ้นเป็นสาธารณรัฐขึ้นมาโดยตามข้อมูลแล้ววันชาติอินเดียคือวันที่ 26 เดือนมกราคมปีพุทธศักราช 2490 ซึ่งในวันดังกล่าวนั้นประเทศอินเดียจะมีการจัดงานเฉลิมฉลองเกิดขึ้น

โดยจะมีการจัดงานขึ้นในเมืองหลวงของประเทศอินเดียซึ่งก็คือเมืองนิวเดลีภายในเมืองจะมีการตกแต่งประดับประดาดอกไม้เอาไว้อย่างสวยงามมีการแห่ขบวนของช้างและมีการเดินสวนสนามกันด้วย

        อย่างไรก็ตามประเทศอินเดียนั้นนับเป็นประเทศที่มีความเก่าแก่ยาวนานมากประเทศหนึ่งเลยก็ว่าได้เนื่องจากประเทศอินเดียนั้นมีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญมากมายหลายอย่างอีกครั้งยังมีข้อมูลสามารถระบุได้ว่าประเทศอินเดียนั้นมีมาตั้งแต่ก่อนคริสตกาลหรือว่ามีอายุมากกว่าเกิน 2,500 ปีมาแล้วโดยในครั้งแรกนั้นว่ากันว่าประชาชนต่างก็อาศัยอยู่ตรงบริเวณแม่น้ำสินธุซึ่งเป็นแม่น้ำยุคแรกๆที่เป็นบ่อเกิดของอารยธรรมของคนเดียร์ 

         และพระมหากษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่มากที่สุดของประเทศอินเดียและมีผู้คนกล่าวขวัญถึงรวมถึงมีผู้คนรู้จักมากที่สุดนั่นก็คือพระเจ้าอโศกมหาราชซึ่งในบทเรียนของประวัติความเป็นมาของประเทศอินเดียในโรงเรียนไทยก็มีการพูดถึงพระเจ้าอโศกมหาราชเช่นเดียวกันโดยระบุว่าพระองค์นั้นคือกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดพระองค์หนึ่ง

และที่สำคัญพระองค์นั้นเป็นกษัตริย์ที่นับถือศาสนาพุทธและมีการเผยแพร่ศาสนาพุทธให้มีความเจริญรุ่งเรืองในยุคหนึ่งเลยก็ว่าได้ซึ่งในขณะนั้นพระองค์ขึ้นครองราชย์เมื่อช่วงประมาณปีพุทธศักราช 274   แน่นอนว่าเด็กนักเรียนส่วนใหญ่ที่รู้จักพระเจ้าอโศกมหาราชนั้นก็เนื่องจากว่ามีการเรียนวิชาพระพุทธศาสนาของไทยนั่นเอง

         สำหรับพระเจ้าอโศกมหาราชนั้นนับได้ว่าเป็นผู้ที่เผยแพร่พระพุทธศาสนาที่ยิ่งใหญ่อีกทั้งยังเป็นกษัตริย์ที่มีความเก่งกาจสามารถในการออกศึกสงครามและพระองค์ยังเป็นผู้ที่สร้างสัญลักษณ์ของอินเดียขึ้นมาสัญลักษณ์ที่ว่านั้นก็คือเสาหิน

ซึ่งเป็นรูปสิงห์โดยพระองค์สร้างสัญลักษณ์นี้เพื่อเป็นอนุสรณ์สถานในการที่พระองค์นั้นพาผู้คนไปล้มละลายในการทำศึกสงครามถึงแม้ว่าการศึกสงครามของพระองค์นั้นจะสามารถคว้าชัยชนะมาให้พระองค์ได้ก็ตามที  

          และช่วงประมาณปีพุทธศักราช 2299 ประเทศอินเดียก็ตกเป็นประเทศในอาณานิคมของประเทศอังกฤษและกว่าที่จะสามารถมาเป็นเอกราชของตนเองได้ก็ต้องใช้เวลาหลายปีซึ่งเป็นช่วงปีพุทธศักราช 2490 นั่นเอง

 

สนับสนุนโดย.    ae บาคาร่า

ประวัติศาสตร์โลกญี่ปุ่นบุกไทย

กองทัพเรือญี่ปุ่นได้เข้าโจมตีฐานทัพเรืออเมริกันที่เพิร์ลฮาร์เบอร์ซึ่งได้อยู่ห่างจากเกาะญี่ปุ่นถึง3พันไมล์ในเช้าวันที่7ธันวาคม ปีพุทธศักราช2484 แล้วจึงได้ประกาศสงครามกับอังฤกษและอเมริกา

ประวัติศาสตร์โลกญี่ปุ่นบุกไทย

ในขณะนั้น จอมพล ป.พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีและผู้บัญชาการทหารสูงสุดของประเทศไทยกำลังตรวจแนวป้องกันชายแดนทางด้านตะวันออกตอนกลางคืนของวันที่7ธันวาคม เป็นวันอาทิตย์ชาวกรุงเทพกำลังหลั่งไหลเข้าไปในสวนอัมพรเพื่อชมมการลองไฟสำหรับฉลองรัฐธรรมนูณ

ซึ่งเป็นงานใหญ่ประจำปีได้มีถึง7วัน7คืนเวลาประมาร4ทุ่มหางจากฝูงชนที่กำลังสำราญใจกับแสงสีราวๆ200เมตรทูตญี่ปุ่นและคณะได้เข้าไปในวังสวนกุหลาบทำเนียบนายกรัฐมนตรีขอพบนายกรัฐมนตรีเป็นการด่วนที่สุด

พลตำรวจตรี อดุล อดุลเดชรจรัส รองนายกรัฐมนตรีได้เรียกประชุมคณะรัฐมนตรีส่งคนไปตามนายกรัฐมนตรีและส่งให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศพบกับคณะทูตญี่ปุ่น

นอกจากนี้เอกอากราชทูตญี่ปุ่นได้แจ้งว่าญี่ปุ่นได้ประกาศสครามกับอังกฤษและอเมริกาและได้รับคำสั่งจากรัฐบาลญี่ปุ่นให้แจ้งต่อรัฐบาลไทยว่ากองทัพญี่ปุ่นขอผ่านประเทศไทยไปตีมาลายูและสิงค์โปรขออย่าให้ไทยขัดขวางเขาขอรับรองว่าจะเคารพอธิปไตยของไทยของให้ไทยตกลงยินยอมภายใน1นาฬิกาของวันรุ้งขึ้นคือในวันที่8ธันวาคม

ประวัติศาสตร์โลกญี่ปุ่นบุกไทย เนื่องจากนี้รองนายกรัฐมนตรีได้เปิดคณะประชุมรัฐมนตรีเมื่อเวลาประมาณ23นาฬิกาคณะรัฐมนตรีมีมัตติให้ นายดิเรก ชัยนาม รัฐมนตรีต่างประเทศ นายปรีดี พนมยง รัฐมนตรีคลังและพระเจ้าวันวัยทยากรไปพบคณะทูตญี่ปุ่นของยืดเวลาต่อเป็น5นาฬิกาเพื่อรอการตัดสินใจของนายกรัฐมนตรี

ซึ่งในตำแหน่ผู้บัญชาการทหารสูงสุดมีอำนาจสั่งทหารแต่เพียงผู้เดียวในระหว่างที่ได้รอนายกรัฐมนตรีก็มีรายงานเข้ามาว่าทหารญี่ปุ่นได้ขึ้นบกที่ สงขลา ปัตตานี  นครศรีธรรมราช สุราษฎร์ธานี ชุมพร ประจวบคีรีขันธ์ ทหารและตำรวจไทยได้ต่อต้านทหารญี่ปุ่นบางแห่งยุวชนทหารได้เข้าร่วมรบด้วยบางแห่งทำการรบกันรุนแรงถึงขั้นตะลุมบอนต่างฝ่ายต่างก็บาดเจ็บล้มตายกันเป็นอันมาก

ดังนั้น จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีได้เดนทางกลับมาถึงพระนครเวลาประมาณ06.50นาทีวันที่8ธันวาคมเมื่อเข้าที่ประชุมแล้วก็ได้ทราบเรื่องราวจากนายกรัฐมนตรีในขณะนั้นได้ทราบกันแล้วว่ากองทัพเรือญี่ปุ่นได้โจมตีเพิร์ลฮาร์เบอร์ได้ลำเรียงทหารขึ้นบกที่ โกตาบารู รัฐกลันตัน กองทัพอากาศญี่ปุ่นโจมตีสิงค์โปรสรุปแล้วประเทศญี่ปุ่นนั้นได้เปิดฉากในการรบอยู่หลายแห่ง

เพราะฉะนั้นแล้วทางฝ่ายสัมพันธมิตรพวกกันเอาไว้ไม่ได้และคงไม่มีทางที่จะช่วยไทยได้คณะรัฐมนตรีได้อภิปรายกันอย่างเคร่งเครียดและรอบคอบเห็นว่าไทยไม่มีทางสู้ญี่ปุ่นตามลำพังจึงตกลงให้นายกรัฐมนตรีสั่งให้หยุดยิงเมื่อเวลา07.30นาทีในที่สุดคณะรัฐมนตรีได้ให้รับมนตรีต่างประเทศลงนามในข้อตกลงระหว่างผู้แทนไทยและญี่ปุ่น

 

สนับสนุนโดย    ชุดตรวจ hiv

วิหาร1,300ปี ยังเป็นข้อถกเถียงกันว่าถูกสร้างขึ้นจากอุปกรณ์อะไร?

    วิหาร1,300ปี หรือวิหารไกรลาศหรือที่เรารู้จักกันในอีกชื่อว่าวิหารพระศิวะหนึ่งในปริศาสนาของโลกที่ยังหาคำตอบไม่ได้ว่าจริงๆแล้วที่วิหารแห่งนี้มันถูกสร้างขึ้นมาได้อย่างไร เพราะด้วยกลไกวิศวกรรมบางอย่างชี้ชัดได้ว่ามนุษย์ในยุคนั้นไม่มีทางที่จะสามารถสร้างสถาปัตยกรรมในลักษระนี้ได้เลย

ซึ่งวิหารไกรลาศได้ตั้งอยู่ในพื้นที่ถ้ำเอโรล่าประเทศอินเดียจากการตรวจสอบพบว่าวิหารแห่งนี้ได้ถูกสร้างขึ้นเมื่อราว1,300ปีที่แล้วจากเรื่องเล่าตามตำนานได้ระบุเอาไว้ว่ากษัตริย์ที่ชนะผู้ป้องครองจักรวรรดิราชกุดที่ถือเป็นมหาอำนาจในอินเดียทางตอนใต้ในยุคนั้นได้เป็นผู้ก่อสร้างวิหารแห่งนี้ขึ้นมา

เนื่องจากพระมเหสีได้เกิดอาการล้มป่วยจากโรคที่ไม่อาจจะรักษาให้หายขาดได้พระองค์จึงได้อธิษฐานจิตต่อพระศิวะว่าจะสร้างวิหารถวารให้หากพระนางนั้นได้หายเป็นปกติในที่สุดอาการป่วยของพระนางก็ทุเลาลงแล้วหายขาดจากโรคดังกล่าวพระองค์จึงได้สร้างวิหารแห่งนี้ขึ้น

จากการตรวจสอบพบว่า วิหาร1,300ปี ได้ใช้เวลาสร้างทั้งสิ้น8ปีจึงแล้วเสร็จมีความสูงของตัววิหาร18.29เมตรและความยาวอยู่ที่60.29เมตรเต็มไปด้วยช่องทางลลับใต้ดินลึกลงไป40-50ฟุตบางจุดมีความยาวกว่า10เมตรโดยเส้นทางดังกล่าวมีขนาดเล็กกว่าเกินที่มือของมนุษย์จะแทรกเข้าไปได้

นอกจากนี้คำถามก็คือสมัยเมื่อ1,300ปีที่แล้วมีอุปกรณ์ชนิดไหนกันที่จะสามารถขุดเจาะเส้นทางในลักษณะเช่นนี้ได้และนี่มันไม่ใช่เหตุผลเดียวที่จะทำให้วิหารไกรลาศมีชื่อเสียงแล้วถูกพูดถึงแต่เป็นเพราะวิหารดังกล่าวสร้างจากการแกะสลักก้อนหินก้อนใหญ่เพียงก้อนเดียว

เหล่านักวิทยาศาสตร์ได้คาดการณ์ว่าหินก้อนนี้น่าจะมีน้ำหนักโดยรวมที่มากกว่า400,000ตันนับววส่าเป็นเรื่องที่แปลกมากๆเพราะโดยปกติแล้วสถาปัตยกรรมลักษณะนี้จะแกะสลักจากด้านนอกเข้าไปยังด้านในแต่วิหารไกรลาศกลับใช้วิธีการก่อสร้างในการแกะสลัดจากด้านบนลงไปยังด้านล่าง

เนื่องจากอุปกรณ์ของช่างในยุคนั้นจะมีเพียงแค่ค้อนปอนด์ลิ่มสิ่วจึงเป็นไปด้วยความยากลำบากแต่วิหารแห่งนี้กลับใช้ระยะเวลาในการก่อสร้างสำเร็จในระยะเวลา18ปีเท่านั้นจากการทดลองของนักวิทยาศาสตร์ที่ได้ตั้งสมมุติฐานเอาไว้ว่าหากจะต้องขนซากหินจากการแกะสลัดในทุกๆวันวันละ12ชั่วโมง

โดยประเมิลจากคนงานที่น่าจะเหมาะสมกับพื้นที่คือ1,000-2,000คนกลับปรากฎว่าในระยะเวลา18ปีจะไม่สามารถขนหินดังกล่าวออกจากพื้นที่ได้หมดนี่ยังไม่รวมถึงการแกะสลัดงานที่ละเอียดอ่อนที่แม้แต่ในช้างปัจจุบันมีเครื่องมือที่ทันสมัยอาจจะต้องใช้ระยะเวลาในการแกะสลัดมากกว่า5-10ปี

 

สนับสนุนโดย.    หวยออนไลน์บาทละ 1000

ตำนานคุกเกาหลีเหนือ

รู้กันหรือไม่ว่าของที่เรานั้นใช้กันอยู่ในบางอย่างมันอาจจะเป็นผลผลิตมาจากนักโทษเกาหลีเหนือการส่งเสริมอาชีพในคุกก็เป็นหนึ่งสิ่งที่จะทำให้นักโทษไม่ต้องรู้สึกเศร้าไปกับวันเวลาที่เปล่าประโยชน์ในคุก

ซึ่งคุกที่ได้ขึ้นชื่ออย่างคุกเกาหลีเหนือเองเขาก็มีนโยบาลที่ไม่ทำให้นักโทษต้องนอยเช่นกันว่ากันว่ากว่าครึ่งหนึ่งของผลิตภัณฑ์ทางอุตสาหกรรมของเกาหลีเหนือมาจากแรงงานของนักโทษล้วนๆวันนี้เราจะมาพูดถึงโรงงานนกรในเกาหลีเหนือกัน

โดยสถานที่แห่งนี้จะไม่มีค่าจ้างต่ำวันหยุดน้อยสวัสดีการห่วยเพราะว่ามันไม่มีเลยแต่ทว่าสถานที่แห่งนี้เขาจะมอบเครื่องประดับงามๆสวยๆให้แก่นักโทษไม่ว่าจะเป็นรอยแผลจากการถูกตีรอยฟองช้ำจากการเตะต่อย

ส่วนสวัสดิการที่เหล่าพวกนักโทษจะได้รับนั้นก็จะเป็นวันหยุดพักร้อนที่ยาวเลยใน ฮวงซุ้ย เอาเป็นว่าเราไปดูกันว่านักโทษจะทำงานสนุกกันแค่ไหนที่โรงงานนรกแห่งนี้แล้วเขาจะมีอาชีพอะไรให้เขาทำกันบ้าง

สำหรับอาชีพแรกนั้นก็คืองานฝีมือรู้หรือไม่ว่าสินค้าที่ส่งออกหลายๆของเกาหลีเหนือที่พวกเราใช้กันอย่างเช่นเสื้อโค้ทกันหนาวเสื้อผ้าเด็กดอกไม้ปล่อยเสื้อยกทรงและยังรวมไปถึงพวกข้าวของเครื่องใช้ในบ้านที่เราได้ใช้กันในราคาถูกๆอย่างเช่นไม้กวาดไม้ถูกหรือแปรงชนิดต่างๆมันมีบางส่วนที่ได้ผลิตมาจากแรงงานของนักโทษเกาหลีเหนือ

นอกจากนี้เมื่อได้เห็นสภาพของเกาหลีเหนือก็จะนึกถึงสาวโรงงานที่จะต้องนั่งเย็บผ้าจนปวดขานี่ก็คือสภาพของนักโทษหญิงส่วนใหญ่ที่อยู่ในเกาหลีเหนือแต่สิ่งที่ได้ต่างไปจากสาวโรงงานก็คือพวกเขานั้นจะไม่ได้กินหมูปิ้งแล้วก็จะไม่ได้ค่าจ้างเลย

ซึ่งนักโทษแต่ละคนเหล่านั้นก็จะมีจำนวนของที่จะต้องผลิตให้ได้ในแต่ละวันตามคำสั่งของผู้คุมและข้างๆตัวของนักโทษก็จะมีกาละมังที่ใส่น้ำไว้ขนาดใหญ่เพื่อให้นักโทษได้ล้างมือบ่อยๆกับผ้าสีขาวที่นักโทษส่วนใหญ่วางเอาไว้ตรงตักเพื่อเอาไว้เช็ดมือไม่ให้มือที่เปื้อนไปปนเปื้อนในของที่พวกเขานั้นจะทำการผลิต

โดยทั้งหมดนี้ก็คือเบื้องหลังที่สวยงามก่อนที่จะถูกส่งออกไปนอกประเทศและด้วยความที่จะต้องเร่งทำงานเพื่อให้ทันเส้นตายนักโทษเหล่านี้ก็จะทำงานกินข้าวแล้วก็จะต้องนอนกันในห้องนั้นเลยบางทีถ้าเกิดมีออเดอร์มากๆงานเร่งสุดเขาก็จะต้องทำงานยาวถึงตีหนึ่งตีสองและจะได้อนุญาตใหนอนเพียงแค่2-4ชั่วโมง

ก่อนที่นักโทษหญิงเหล่านี้จะถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาให้เย็บให้ขาปวดกันต่อด้วยการนอนน้อยชนิดนี้เองก็ได้ทำได้บบ่อยครั้งที่นักโทษจะเผลอหลับไปในขณะที่ทำงานแต่พวกเธอก็ต้องสะดุงตื่นเพราะนิ้วมือของนางทั้งหลายได้ถูกเครื่องเย็บผ้าดูดมือเข้าไป

 

 

ได้รับการสนับสนุนโดย  สูตรหวยยี่กี หวยดี

วันเลิกทาส 

เราเชื่อว่าวันนี้ประเทศไทยของเราคงจำกันได้ดีโดยที่ตรงกับวันที่ 1 ของเมษายนในทุกๆปี ซึ่งคนไทยจะค่อนข้างที่จะจำได้ดีเกี่ยวกับวันเหล่านี้เพราะว่า วันนี้เป็นอีกหนึ่งวันที่มีความสำคัญ ที่จารึกอยู่ในหน้าประวัติศาสตร์ของไทย โดยเป็นพระราชกรณียกิจ ที่มีความสำคัญ ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และนั่นก็คือวันเลิกทาสของเรานั่นเอง 

วันเลิกทาสถือได้ว่าเป็นวันที่ได้มีการยกเลิกเกี่ยวกับ ระบบที่เราชนชั้นสูงและมีคำการตั้งขึ้น เพื่อเป็นการกดขี่ชาวบ้านให้เป็นการรับใช้พวกเขา หรือเป็นการทำงานแม้กระทั่งส่งทรัพย์สินส่วนตัวให้ โดยไม่มีกำหนดว่าจะมีการสิ้นสุดเมื่อไหร่ 

จะเห็นได้ว่าการเลิกทาสนั้น มีการเกิดขึ้นในแผ่นดินรัชสมัย ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว นั่นแหละคือรัชกาลที่ 5 ของเรานั่นเอง โดยจะเห็นได้ว่าไทยของเรานั้นมีมากจริงๆ ซึ่งแพทย์จะมากกว่า 1 ใน 3 ของลับของพลเมืองที่อยู่ภายในประเทศเสียด้วยซ้ำ จะเห็นได้ว่าเหตุการณ์นี้สืบเนื่องมาจากการที่พ่อแม่และเป็นภาพนั้น จะเป็นการส่งผลให้ลูกที่เกิดจากพ่อแม่ที่เป็นทาส ส่งผลต่อให้พวกเขากลายเป็นท่าต่อไปเรื่อยๆ 

ด้วยความลำบากที่เราเห็นนั้นพวกธาตุต่างๆจะต้องทำการหาเงินเพื่อมาเป็นการไถ่ตัวเอง ถ้าหากไม่มีเงินมาไถ่ตัวเองได้ก็จะกลายเป็นทาสไปตลอดชีวิตหรือจนกระทั่งที่จะหาเงินมาขายชีวิตของตัวเองได้ ซึ่งกฎหมายถือว่ามีค่าตัวอยู่ในขณะนั้น โดยภายหลังจากนั้นเพียงไม่นาน ถ้าขึ้นว่าจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ได้ทรงประกาศ พระราชบัญญัติพิกัดเกษียณลูกทาส พี่เป็นลูกไทยโดยเมื่อวันที่ 21 สิงหาคม พ. ศ. 2417 ส่งได้แก้เกี่ยวกับ ค่าตัวของภาพในสมัยนั้นเสียใหม่ 

โดยเริ่มมีการลดลงตั้งแต่ผู้ที่มีอายุ 8 ขวบ จนกระทั่งหมดอายุเป็นทาสเมื่ออายุได้ 20 ปี ซึ่งถ้าหากอายุได้ 21 ปีแล้วก็ ภาพเหล่านั้นก็จะกลายเป็นอิสระไปเลย เรื่องราวเหล่านี้มีผลตั้งแต่พศ. 2411 เป็นต้นไป นอกจากนั้นยังมีประกาศไม่ให้ขายบุคคลที่มีอายุมากกว่า 20 ปีขึ้นไปให้เข้ามาเป็นทาสรับใช้อีกด้วย

ต่อมาในปี 2488พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ได้ทรงออกพระราชบัญญัติอีกรอบส่งให้ยกเลิกการเลิกทาส ร.ศ. 124  โดยมีการประกาศให้ลูกทาสของทุกคนเป็นไทย เหตุการณ์นี้ได้ประกาศเมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ 2448 โดยธาตุประเทศอื่นหรือทาสที่ไม่ใช่ทาสในเรือนเบี้ยนั้น ส่งประกาศให้ลดค่าตัวโดยประมาณเดือนละ 4 บาทด้วยกัน นับตั้งแต่เดือนเมษายนนั้นเป็นต้นมา

นอกจากนั้นก็ยังคงทรงออกพระราชบัญญัติ เพื่อป้องกันบุคคลที่เป็นไทยแล้ว เพื่อป้องกันไม่ให้พวกเขาเหล่านั้นกลับไปเป็นทาสอีกครั้ง เพลงทหารผ้าเหล่านั้นจะเปลี่ยนเจ้านาย ก็ต้องมีการระบุไว้ว่าไม่ให้มีการขึ้นค่าตัว แปลว่าถือว่าเป็นเรื่องราวที่ดีของคนไทยซึ่งมีการประกาศการเลิกทาสเหล่านี้ถือได้ว่าทำให้คนไทยนั้นมีชีวิตที่ค่อนข้างจะดีขึ้นนับจากนั้นเป็นต้นมา

 

สนับสนุนโดย  สถิติหวยลาว 62

ยุคสมัยขอมโบราณ

เมื่อาณาจักรเจนละได้เสียทีให้แก่ชวา จากนั้นกษัตริย์ชวาก็ได้มีการแต่งตั้งพระเจ้าชัยวรมันที่2เป็นเจ้าโดยได้ขึ้นตรงต่อชวาแต่พระเจ้าชัยวรมันที่2นั้นพระองค์ได้กลับตั้งพระองค์ให้เป็นอิสระและได้รวบรวมอำนาจให้เป็นแผ่นอีกครั้งแล้วไปปลดแอกจากชวา

เมื่อพระเจ้าชัยวรมันที่2ไปรวมอำนาจเป็นปึกแผ่นแล้วจากนั้นท่านก็ได้สร้างพระนครหลวงขึ้นที่บริเวณทะเลสาบเขรม

ซึ่งในสมัยนครหลวงนั้นถือได้ว่าเป็นยุคที่รุ่งเรืองอย่างสูงสุดอย่างประวัติศาสตร์ขอมหรือเขรมโบราณเป็นระยะที่วางรากฐานการปกครองที่กษัตริย์มีอำนาจดุจพระเจ้าหรือเทวะราชาได้มีการจัดระบบชลประทานที่มีขนาดใหญ่และได้กำหนดศิลาปะกรรมการก่อสร้างขนาดใหญ่จงถือว่าเป็นศิลปะกรรมที่ได้มีคุณค่าอย่างยิ่ง

นอกจากนี้นักประวัติศาสตร์ได้สันนิฐานว่าในสมัยที่ขอมรุ่งเรือนมีบริเวณที่อยู่ภายใต้การปกครองอาณาจักรสมัยนี้ก็คือประเทศกัมพูชาในปัจจุบันตอนใต้ของเวียดนามภายใต้ของลาวและภาคตะวันออกของไทยจากบริเวณที่ลาบสูงโคราชลงไปจนถึงจันทบุรีส่วนดินแดนลุ่มน้ำเจ้าพระยาเป็นอาณาจักรทวาราวดี

ซึ่งในเขรมโบราณในสมัยนครหลวงในที่นี้เราจะขอแบ่งเป็น2ยุคที่มีความโด่งเด่นก็คือยุคเริ่มต้น (ระหว่างคริสต์ศตวรรษที่10) กับ ยุครุ่งเรืองสูงสุด(ระหว่างคริสต์ศตวรรษที่11-13) ส่วนในยุคเสื่อมนั้นจะไม่ค่อยมีอะไรสำคัญมากจะไม่ขอพูดอะไรมาก

สำหรับยุคเริ่มต้นก่อตัวเราจะกล่าวเฉพาะสมัยที่มีความสำคัญและได้มีผลงานเด่นเริ่มจากพระเจ้าชัยวรมันที่2ได้เป็นผู้รวบรวมอาณาจักรที่ได้ก่อตั้งนครหลวงแต่ก็ได้มีนักวิชาการได้สันนิฐานว่าพระองค์ไม่ได้เป็นผู้สร้างตัวเมืองพระนครจริงในสมัยของพระองค์นั้นได้มีบันทึกอยู่ในจารึกสลักกันทม

ซึ่งพระองค์นั้นได้เริ่มราชการของพระองค์ด้วยการสร้างเมืองหลวงได้ให้ชื่อว่า “อินทรปุระ” พระองค์ยังได้ให้พราหมณ์ผู้หนึ่งชื่อ “ศิวไกวัลย์” มารับราชการกับพระองค์และได้วางรากฐานการปกครองที่กษัตริย์อยู่ในฐานะอันสูงส่งที่เรียกว่า”เทวราชา” ถือว่ากษัตริย์นั้นเป้นภาคหนึ่งของพระศิวะ

ด้วยอำนาจอันศักดิ์สิทธิของพระศิวะให้มาสถิตอยู่ในกษัตริย์โดยได้ใช้พราหมณ์ผู้เป็นพิธีในศาสนานิยมสร้างศิวลึงค์เป็นสัญลักษณ์แทนพระศิวะและก็เป็นสัญลักษณ์แทนบุคลิกภาพของกษัตริย์ผู้สร้างนั้นด้วย

เนื่องจากนี้ก็ยังได้มีการเชื่อมั่นว่าอาณาจักรจะมั่นคงเป็นปึกแป่นหรือไม่ขึ้นอยู่กับการทำพิธีบูชาศิวลึงค์ได้อย่างถูกต้องหรือไม่วิหารที่ประดิษฐานศิวลึงค์นั้นก็จะต้องไปสร้างบนเนินเขาถ้าไม่มีเนินเขาตามธรรมชาติก็จะต้องจัดสร้างเนินเขาจำลองขึ้นมาแทนบนยอดวิหารนั้นถือว่าเป็นศูนย์กลางของอาณาจักรและของจักรวาลอีกด้วย

ตำนานของเหมาเจ๋อตงพรรคคอมมิวนิสต์ประเทศจีน

สำหรับเรื่องของผู้ชายคอมมิวนิสต์ที่ประเทศจีนนั้นจะต้องรักเดียวใจเดียวรักครอบครัวเป็นพ่อที่ดีไม่เที่ยวผู้หญิงไม่มีเมียน้อยตั้งหน้าตั้งตาทำงานเพื่ออุดมการณ์พรรคคอมมิวนิสต์เราต้องเข้าใจด้วยว่าการเลือกคู่ครองของคนในพรรคคอมมิวนิสต์ไม่ใช่สิ่งที่คุณจะทำได้ตามใจชอบทุกๆอย่าง

นี่จะต้องได้รับการผ่านการพิจารณาและอนุมัติจากกรรมการพรรคเพราะการแต่งงานนั้นไม่ใช่เรื่องของคนสองคนแต่เป็นเรื่องของความวัฒนาสถาพรของอุดมการณ์คอมมิวนิสต์จะแต่งจะหย่าไม่ใช่นึกจะทำก็ได้

ประธานเหมาเจ๋อตงนี่ แต่งงานครั้งที่3 เพราะ ภรรยาคนที่1และคนที่2เสียชีวิตไม่ได้เลิกกันคราวนี้พอได้มีกิ๊กและต้องการจะแต่งงานกับกิ๊กกรรมการพรรคก็ปวดหัวและก็ไม่เห็นด้วยอย่างหนักเพราะว่านี่คือประธานพรรคต้องทำตัวเป็นแบบอย่างที่ดีสิ 

นอกจากนี่ด้านภรรยาคนที่3ก็ถือว่าเป็นผู้หญิงที่เป็นสุดยอดตัวอย่างของผู้หญิงคอมมิวนิสต์ที่ดีอีกต่างหากไม่ได้มีความผิดอะไรเลยทำแบบนี้ไม่ได้แค่นั้นยังไม่พอตัวก๊กเองหรือว่า เจียงชิงก็เป็นผู้หญิงที่ผิดจากอุดมการณ์คอมมิวนิสต์มากๆคือได้เป็นนางเอกนครมีไลฟ์สไตล์แบบBourgeoisแบบนายทุนมากๆมาก่อนแล้วก็ยังได่มาวอแวกับผู้ชายที่มีเมียอยู่แล้วอย่างออกนอกหน้าอีกต่างหากแบบนี้คือผิดมากๆ

แต่ก็อย่างว่าเรื่องแบบนี้เคยมีใครห้ามกันได้ไหมสุดท้ายทางพรรคก็เลยยอมให้เหมาหย่าเมียคนที่3แต่ว่าก็มีข้อแม้อยู่หลายอย่างนั่นคือการแต่งงานครั้งที่4ต้องให้โลว์โปรไฟล์ที่สุดเจียงชิงจะไม่มีฐานะเป็นสุดภาพสตรีหมายเลข1ห้ามออกงานคู่กัน ห้ามร่วมประชุมพรรค ห้ามออกสื่อคู่กัน เป็นเวลา30ปี นี่มันเมียเก็บชัดๆก็ไม้แปลงถ้าเผื่อว่าเราเป็นเจียงชิงเราว่าเราย่าจะไม่โอเคพอสมควรเลยที่ถูกแก๊งผู้ชายรอบตัวแฟนมากะเกณฑ์ชีวิตมีสิทธิ์อะไรมาห้ามนั่นห้ามนี่ทำเหมือนว่าฉันเป็นตัวปัญหาน่ารังเกียจอะไรบางอย่าง

ซึ่งในความแค้นนี้ก็ยังต้องถูกเก็บงำเอาไว้เพราะว่าตอนนั้นเจียงชิงเองก็ไม่ได้อำนาจอิทธิพลใดๆนอกจากอิทธิพลเหนือเหมาเจ๋อตงที่ยังได้เป็นหัวหน้าทางฝ่ายกบฏยังยึดประเทศจีนไม่สำเร็จเป็นหัวหน้ากลุ่มการเมืองที่ถูกรัฐบาลไล่ล่าแต่ต่อมาอีกไม่กี่ปีหลายอย่างก็เปลี่ยนไป

ในปี1949พรรคคอมมิวนิสต์ได้ชนะสงครามกลางเมือง นายพลเจียงไคเช็คลี้ภัยไปตั้งรัฐบาลที่ไต้หวันเหมาเจ๋อตงประกาศตั้งสาธารณารัฐประชาชนจีนและได้กลายมาเป็นผู้นำสูงสุดของประเทศใหม่และแม้ว่าจะเพิ่งตั้งประเทศจีนใหม่ก็ยังต้องทำสงครามใหญ่ๆอยู่อย่างต่อเนื่อง

โดยเฉพาะสงครามเกาหลีซึ่งต้องเรียกว่าเป็นชัยชนะที่งดงามของสาธารณะรัฐประชาชนจีนเพราะสามารถคงไว้ซึ่งระบอบคอมมิวนิสต์ในเกาหลีเหนือเรียกได้ว่ารบไม่แพ้สหรัฐอเมริกาว่าอย่างนั้นเถอะ

เขื่อนสามผาใหญ่ที่สุดในประเทศจีน

สำหรับเขื่อนนั้นถือได้ว่าเป็นสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ที่กั้นขวางทางน้ำเพื่อใช้ในการกั้นเก็บน้ำและป้องกันอุทกภัยรวมไปถึงการผลิตกระแสไฟฟ้าซึ่งมากกว่าครึ่งแม่น้ำสายหลักทั่วโลกจะมีเขื่อนกั้นน้ำเอาไว้เพื่อนำเอาไปใช้ประโยชน์ไม่ทางใดก็ทางหนึ่งวันนี้เราจะพาทุกคนไปรู้จักกับเขื่อนที่จัดได้ว่าเป็นเขื่อนที่มีขนาดใหญ่มากที่สุดในโลก 

เขื่อนสามผา ของประเทศจีนได้เป็นเขื่อนอเนกประสงค์ที่มีขนาดใหญ่มากที่สุดในโลกลักษณะของเขื่อนได้เป้นเขื่อนคอนกรีตถ่วงน้ำหนักกั้นขวางแม่น้ำแยงซีซึ่งต่อไปเราจะขอเรียกกันสั้นๆว่าเขื่อนสามผา

ซึ่งเขื่อนสามผานั้นถือได้ว่าเป็นเขื่อนแรกของประเทศจีนที่มีชื่อเต็มเป็นภาษาอังกฤษและชื่อเต็มของโรคงการสร้างเขื่อนนี้คือ Three Gorges multipurpose water control project หรือเราจะเรียกกันสั้นๆว่า Three Gorges Damซึ่งได้มีประวัติในการก่อสร้างที่ยาวนานตั้งแต่สมัย ดร. ซุน ยัตเซ็น ในปีพุทธศักราช2462และได้เริ่มมีการศึกษาโครงการ

เมื่อปีพุทธศักราช2473สภาประชาชนลงมติวให้สร้างได้ในปีพุทธศักราช2535ในสมัยรัฐบาลของนายกรัฐมนตรี หลี เผิง คนที่4 แต่ทว่ากว่าเขื่อนแห่งนี้จะผ่านการอนุมัติจากสภาประชาชนจริงๆและได้มีการก่อสร้างอย่างเป็นรูปประธรรมเมื่อปี2547แล้ว

เสร็จในปี2554ได้ใช้ระยะเวลาในการก่อสร้างทั้งสิ้นแล้วประมาณ7ปีแต่ในส่วนที่ได้มีการก่อสร้างนั้นเจ้านายที่จะต้องจ้างคนที่ทำงานตลอดทั้งวันทั้งคืนกว่า20,000คนเพื่อที่จะได้สร้างเขื่อนให้แล้วเสร็จตามระยะเวลาที่ได้กำหนดได้มีทุนในการสร้างกว่า30,000ล้านเหรียญสหรัฐหรือประมาณ1.2ล้านล้านบาท

วัตถุประสงค์ของการก่อสร้างนั้นเพื่อจะนำไปใช้ผลิตกระแสไฟฟ้าเป็นหลักและเพื่อป้องกันน้ำท่วมซึ่งในขณะที่ได้ทำการสร้างเขื่อนอยู่นั้นได้มีผู้อพยพจากน้ำท่วมบริเวณโดยรอบประมาณ1.35ล้านคนตัวเขื่อนั้นได้มีความกว้างประมาณ2,309เมตรมีความสูง185เมตร

โดยมีเครื่องสร้างกระแสไฟฟ้าจำนวน26ตัวเพื่อทำการสร้างไฟฟ้ากว่า1,820kwต่อชั่วโมงวัตถุที่ได้ใช้ในงานก่อสร้างประกอบไปด้วยซีเมนส์กว่า10.8ล้านตันเหล็กเส้นกว่า1.9ล้านต้นและไม้แบบกว่า1.6ล้านตันได้เปนเขื่อนที่มีขนาดใหญ่กว่า เขื่อนฮูเวอร์ ซึ่งได้เป็นเขื่อนที่มีขนาดใหญ่มากที่สุดในอเมริกากลางเกือบ10เท่ามีพื้นที่รับน้ำกว่า1ล้าน ตร.กม.หรือประมาณ2เท่าของประมาณพื้นที่ของประเทศไทยทั้งหมดอาคารระบายน้ำล้นสามารถระบายน้ำได้สูงสุดกว่า116,000ลบ.ม./วินาที 

ซึ่งเจ้าหน้าที่ของประเทศจีนได้เชื่อว่าเขื่อนเหล่านี้จะสามารถขจัดปัญหาหลักหลายอย่างของประเทศได้ทั้งเป็นแหล่งพลังงานที่สำคัญในอนาคตของประจีนรวมไปถึงการป้องกันน้ำท่วมที่แม่น้ำแยงซีที่ฆ่าคนไปมากกว่า1ล้านนคนในในช่วง1ร้อยปีที่ผ่านมา

นอกจากนี้ยังได้เป็นเส้นทางขนส่งยากว่า2,400กิโลเมตรให้กับเรือที่ขนส่งสินค้าเพื่อสามารถขนส่งสินค้าภายในประเทศอีกด้วย

 

สนับสนุนโดย  รหัสคูปอง rb88