เรื่องราวของโนบิตะและชิซุกะ

ถ้าหากเพื่อนๆต้องรู้ว่าทำไมโดราเอมอนต้องมาช่วยโนบิตะล่ะก็เราก็อาจจะมองโดราเอมอนไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปจากเจ้าแมวสีฟ้าๆใจดีก็อาจจะกลายเป็นแมวที่เห็นแก่ตัวที่พยายามทำทุกอย่างเพื่อตัวเองเลยก็ว่าได้และทำไมโดราเอมอนถึงได้ชอบโดรายากิหรือว่าซึเนโอะมันมีความสำคัญอย่างไรกับปีศาจวันนี้เราก็จะมาแกะเร่ืองราวที่มันได้แฝงอยู่ในการ์ตูนโดราเอมอนกันพร้อมแล้วไปดูกันเลย

เราจะมาเริ่มชื่อของตัวละครของเรื่องกันก่อนเลย โดบิตะ ทั้งขี้เกียจขี้แงขี้แพ้จนหลายๆคนคิดว่า โนบิตะ คิดว่าต้องสื่อไปถึงพวกที่ไม่เอาไหนไปแล้วแน่ๆแต่มันไม่ใช่แบบนั้นเวลาที่เขาได้ตั้งชื่อลูกเขาคงจะไม่เอาอะไรแบบนี้มาตั้งหรอก

โนบิตะ นั้นเป็นชื่อที่คุณพ่อและคุณแม่ได้ตั้งขึ้นมาให้กับตัวของเขามีความหมายว่า ความเจริญก้าวหน้าอะไรแบบนี้เรื่องรางเรื่องนี้มันก็มีการ์ตูนอยู่ตอนหนึ่งที่ได้พูดถึงโนบิตะที่ได้เกิดขึ้นมาคุณพ่อของเขาก็ได้มองไปเห็นต้นไม้ต้นหนึ่ง

ซึ่งมันเป็นต้นไม้ที่สูงมากก็เลยอยากจะให้ชื่อของลูกตัวเองสูงเหมือนดั่งต้นไม้ที่สามารถจะยืนได้ด้วยลำแข้งของตัวเองแล้วก็เจริญเติบโตแต่ทำไมโตขึ้นมา ขี้เกียจเป็นที่หนึ่งแล้วที่ฮ่าไปอีกโนบิตะในตอนนั้นเขาก็ได้ใช้ของบางอย่างย้อนเวลากลับมาอยู่ในช่วงเวลานั้นด้วยแล้วก็เกิดอาการหงุดหงิด

เนื่องจากเขาได้คิดว่าพ่อแม่ที่ได้ตั้งชื่อแบบนี้มันเป็นการตั้งความหวังให้กับเขามากเกินไปก็กเลยโฒโหเข้าไปว่จะตั้งชื่อลูกเอาแต่ใจตัวเองแบบนี้ไม่ได้

โดยพ่อแม่ในตอนนั้นเขาไม่รู้ที่โนบิตะที่มาจากอนาคตเป็นใครก็เลยไล่เขาออกไปแล้วก็ได้มาถึงนางเอกของเรื่องก็คือ ชิซุกะ

ซึ่งชิซุะในภาษาญี่ปุ่นมันจะแปลกได้ว่ากลิ่นหอมที่ทำให้รู้สึกสงบก็พอจะเข้ากับตัวของเธอดีแต่เชื่อหรือไม่ว่าชื่อนี้มันไม่ได้เป็นชื่อของชิซุกะที่คนเขียนเขาจะตั้งใจให้ตั้งแต่แรก

ในหนังสือการ์ตูนญี่ปุ่นในฉบับเก่าๆ ชิซุกะมีชื่อว่าชิซุโกะ ซึ่งได้ใช้เรียกชื่อเด็กหญิงในตอนแรกของการ์ตูนก่อนที่จะมาเปลี่ยนเป็นชิซุกะแต่ว่าชิซุโกะมันจะแปลว่าอะไรก็ไม่รู้เหมือนกันคือถ้าจะให้เราแปลตรงๆแบบโง่ๆเลยก็คือบุตรตรีแห่งปลาสลิดอะไรประมาณนี้เพราะเราก็แปลไม่ค่อยเก่งเหมือนกัน

 

สนับสนุนเรื่องราวโดย  betbb

ตำนานนิทานพื้นบ้านของภาคใต้ที่มาที่ไปของคนกินข้าว

            ตำนานที่จะพูดถึงในวันนี้เป็นตำนานของคนจังหวัดสงขลาที่พูดถึงเกี่ยวกับเรื่องว่าคนนั้นเริ่มกินข้าวตั้งแต่เมื่อไหร่และเหตุใดคนในปัจจุบันนี้ถึงกินข้าวซึ่งว่ากันว่าในสมัยโบราณนั้นผู้คนไม่รู้จักข้าวสารและผู้คนนั้นไม่ได้กินข้าว

แต่คนสมัยก่อนนั้นกินข้าวเปลือกหรือรำข้าวนั้นเองด้วยว่ากันว่าเมื่อชาวบ้านทำไร่ไถนาปลูกข้าวและได้ผลผลิตออกมาแล้วพวกเขาก็จะเอาผลผลิตที่เป็นเมล็ดข้าวเปลือกนั้นมาตากแดดให้แห้งหลังจากนั้นพวกเขาก็จะนำเมล็ดข้าวเปลือกมาตำให้ละเอียด

ซึ่งก็จะได้รำข้าวแยกออกมาส่วนเมล็ดข้าวที่เป็นสีขาวนั้นพวกเขาพากันเรียกว่าแก่นข้าวซึ่งชาวบ้านไม่นิยมกินแก่นเท่ากันแต่จะหันไปกินรำข้าวแทนส่วนแก่นข้าวนั้นชาวบ้านส่วนใหญ่ก็จะทิ้งขว้างๆอยู่แถวบริเวณรอบๆบ้านของตนเองเท่านั้นอยู่มาวันหนึ่งมีครอบครัวหนึ่งพ่อกับแม่ได้มีการทำรำข้าวให้ลูกชายกิน

แต่ลูกชายก็ไม่ยอมกินอีกทั้งยังร้องไห้โยเยเสียงดังโวยวายทำอย่างไรไม่ว่าจะปลอบหรือจะกอดแค่ไหนเด็กก็ไม่ยอมกินรำข้าวทำให้พ่อนั้นรู้สึกโกรธมากจึงได้ตะโกนต่อว่าพร้อมกับบอกว่าจะเอาแก่นข้าวหรือข้าวสารมาต้มให้กินเมื่อเด็กได้ยินดังนั้นก็เงียบเสียงร้องในทันทีพ่อกับแม่จึงได้เอารำข้าวให้ลูกกินอีกแต่ลูกก็ร้องไห้อีกด้วยความโกรธพ่อจึงได้เอาข้าวสารไปต้มแล้วนำมาให้ลูกกินหลังจากที่ลูกได้กินแล้ว

ก็เลิกร้องไห้และยิ้มหัวเราะชอบใจหลังจากนั้นก็นอนหลับพอแม่เห็นดังนั้นก็คิดว่าลูกของตนเองนั้นกินข้าวสารตายเสียแล้วต่างก็พากันร้องไห้ซึ่งลูกชายเมื่อได้ยินเสียงพ่อกับแม่ร้องไห้จึงลืมตาขึ้นมาวันต่อมาพ่อกับแม่ก็ตำรำข้าวให้กินอีกแต่เด็กก็ไม่ยอมกินอีกแต่เมื่อนำเข้าสารไปต้มมาให้กินเด็กกับกินและมีความสุขทำให้พ่อกับแม่นั้นหันมาต้มข้าวสารให้ลูกกินทุกวัน

และเมื่อเห็นว่าลูกกินแล้วมีความสุขและไม่ได้เกิดอันตรายอะไรพ่อกับแม่ก็เลยเริ่มที่จะกินข้าวสารต้มตามลูกร่างและเมื่อกินเข้าไปนั้นก็พบว่าข้าวสารที่ต้มนั้นอร่อยกว่าการกินรำข้าว นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาครอบครัวนี้ก็พากันกินข้าวสารเลยมาและเลิกกินรำข้าวนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาส่วนเพื่อนบ้านเมื่อเห็นว่าบ้านนี้มีการกินข้าวสาร

และไม่ยอมกินรำข้าวก็ได้ลองมาขอชิมดูบ้างซึ่งก็พากันติดใจว่าข้าวสารนั้นอร่อยกว่ารำข้าวและนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาผู้คนทั่วไปต่างก็หันมากินข้าวสารแทนและเลิกกินรำข้าวนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาทันทีและนี่คือตำนานที่เล่าขานกันว่ามนุษย์เรานั้นกินข้าวสารตั้งแต่เมื่อไหร่นั่นเอง 

 

 

สนับสนุนโดย  dewabet