ตำนานปีศาจงูเมดูซ่าที่แท้จริงแล้วไม่ได้น่ากลัวแต่น่าสงสารมากกว่า?

ถ้าเราพูดถึงตำนานงูปีศาจเมดูซ่าเราเชื่อว่าหลายๆคนก็อาจจะจำภาพลักษณ์ในรูปแบบของปีศาจงูที่มีแต่ความชั่วร้ายปีศาจงูที่คนตีหน้าว่าเป็นความอัปโชคถ้าใครได้เห็นปีศาจงูตัวนี้และได้มองหน้าคนๆนั้นก็จะถูกสาปให้กลายเป็นหิน

ส่วนใหญ่แล้วก็จะจำภาพลักษณ์ของเมดูซ่าก็ประมาณนี้ใช่หรือไม่แต่ในความเป็นจริงแล้วพอเราได้ไปศึกษาและได้ไปหาข้อมูลมาจริงๆ เขาบอกว่าจริงๆแล้ว เมดูซ่า ไม่ได้เป็นปีศาจงูเมดูซ่าได้เป็นเพียงแค่ผู้หญิงธรรมดาที่ถูกใส่ความที่ถูกเกียจและถูกอิจฉาจากคนบางกลุ่มเพียงเท่านั้น

ซึ่งตรงนี้ตามข้อมูลที่เราได้ไปหามาเขาได้บอกเอาไว้ว่า เมดูซ่า  ก็คือหนึ่งในสามพี่น้องของของเทพ Metis,เมทิส ที่เขาว่ากันว่าได้มีน่าตาที่สวยที่สุดในในกรุงเอเทนว่ากันว่าน่าตาของเมดูซ่ามีความสวยงมไม่ว่าจะเป็นเรื่องของผิวพรรณเรื่องใบหน้าคิ้วตาจมูกองประกอบ

โดยรวมต่างๆเธอสวยที่สุดในกรุงเอเทนเลยก็ว่าได้แต่สิ่งที่สวยที่สุดที่ทำให้คนพูดถึงเมดูซ่านั่นก็คือเส้นผมของนางว่ากันว่าเส้นผมของนางได้มีความสวยและเงางาม และตามตำนานเขาก็ยังได้บอกอีกว่าในเวลาต่อมาเทพซุสที่กำลังโหยหาความยิ่งใหญ่

เขาต้องการพลังของเทพ Metis,เมทิสที่เขาว่ากันว่าได้เป็นเทพแห่งสติปัญญาซุสก็เลยได้ทำการหลอกลวง Metis,เมทิสให้เข้าไปหาก่อนที่จะหลอกลวง Metis,เมทิสได้แปลงกายให้เป็นสัตว์ตัวเล็กตัวน้อยอย่างแมลงวันและได้จับกินเข้าไปหลังจากนั้นซุสก็ได้ครอบครองพลังแห่งสติปัญญามานั่นเอง

แต่ในเวลานั้นเทพ Metis,เมทิสเขาก็ไม่ได้เสียชีวิตทันทีหลังจากที่เทพซุสได้กินเข้าไปพลังของนางก็ได้มีความแข็งแกร่งในระดับเทพนางจึงได้ขึ้นไปอยู่ตรงบริเวณส่วนหัวของซุสและได้ทำการปล่อยพลังออกมาจึงทำให้ซุสได้ปวดหัวอย่างรุนแรง

ถึงขั้นที่ว่าหัวของซุสระเบิดอออกมาและสิ่งที่มันออกมาจากหัวของซุสนั้นนั่นก็คือลูกของนางอีกคนหนึ่งที่มีชื่อว่าAthena,เอฌธน่า นั่นเองหากพูดแบบนี้หลายๆคนก็อาจจะงง

ซึ่งตรงนี้เราต้องขออธิบายเพิ่มเติมอีกนิดหน่อยในเวลานั้นเทพ Metis,เมทิสเขากำลังได้ตั้งท้องคนที่สี่อยู่เทพซุสเขาไม่รู้ว่าเทพ Metis,เมทิสเขากำลังตั้งท้องและสิ่งที่ออกมาจากหัวของเทพซุสในเวลานั้นนั่นก็คือลูกของเทพ Metis,เมทิสนั่นเอง

 

สนับสนุนโดย  entaplay slot

มุกมณีแห่งลาวใต้

ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เส้นศูนย์สูตร ซึ่งจะมีลักษณะของอากาศที่ร้อนชื้นในความเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศในแต่ละปีนั้นมันจะเห็นได้เลยว่ามันได้มีความแตกต่างกันอย่างชัดเจนระหว่างความแห้งแร้งในฤดูแร้งและความชุ่มชื้นในฤดูฝน

โดยเฉพาะกลุ่มประเทศอินโดจีนที่จะได้รับอิทธิพลลมมรสุมจากตะวันตกเฉียงใต้จึงทำให้มีฝนตกลงมาตั้งแต่เดือนพฤษภาคมก่อนที่มันจะค่อยๆจางเม็ดเลยไปในช่วงของเดือนตุลาคมของทุกๆปีและอย่างที่เราได้ทราบกันดีอยู่แล้ว

ว่ากลุ่มในประเทศเหล่านี้ไม่ว่าจะเป็นประเทศไทยพม่า ลาว กัมพูชา หรือเวียดนาม ทุกประเทศต่างก็ยังจะต้องพึ่งพารายได้จากการท่องเที่ยวเพื่อจะเอามาหล่อเลี้ยงในระบบของเศรษฐกิจในการท่องเที่ยวแต่โดยทั่วไปแล้วในช่วงฤดูฝนจะเป็นช่วงที่การท่องเที่ยวเบาลงและสายฝนที่ได้ตกลงมาตลอดทั้งวันมันจะเป็นปัญหาในการวางแผนต่อการเดินทาง

แต่ในช่วงระยะเวลาเดียวกันนี้ สำหรับเขตพื้นที่ทางใต้ของสาธารณะประชาธิปไตยประชาชนลาวมันได้เป็นอีกหนึ่งทางของนักท่องเที่ยวที่ได้ชอบความสวยงามของธรรมชาติเพราะทั่วแขวงของลาวใต้มันเต็มไปด้วยภูเขาที่มีึความอุดมสมบูรณ์

ในภูมิประเทศที่ยังได้เป็นเทือกเขาที่ได้มีความสูงและต่ำต่างระดับกันไปที่มันจะทำให้เราสามารถที่จะพบเห็นน้ำตกต่างๆจำนวนมากทั้งน้ำตกแห่งนี้ต่างก็จะมีน้ำที่บริสุทธิ์และสวยงามอีกทั้งยังมีความเป็นธรรมชาติเสน่ห์ของน้ำตกแห่งลาวใต้นั้น

จึงได้ดึงดูดให้นักที่ชื่นชอบในการเดินทางจากต่างถิ่นต่างก็ได้พากันมาตามหาจุดมุ่งหมายกัน โดยในช่วงฤดูฝนมันได้เป้นอีกสิ่งหึ่งที่เราจะมาเที่ยวชมน้ำตกและแห่งประวัติศาสตร์และน้ำตกในแต่ละแห่งจะแสดงความเป็นตัวตนออกมาให้เราได้เห็นกันอย่างชัดเจนมากที่สุด

ซึ่งในความงามแห่งนี้จะส่องความงามออกมาด้วยสายน้ำที่เพิ่มขึ้นมา ซึ่งเราอาจจะเปรียบได้ดั่งเหมือนมวลมุกมณีที่ได้พบเห็นอยู่กลางป่าสำหรับลาวใต้หรือว่าลาวตอนล่างก็จะเริ่มนับตั้งแต่สวรรค์เขตลงไปซึ่งมันก็จะมีอยู่ทั้งหมดเลยประมาณ5แขวงนอกจากสวรรค์เขตแล้วก็จะมีแขวงสาละวันจำปาสัก

สำหรับเขตแขวงของลาวใต้อาจจะมีศักยภาพทางการท่องเที่ยวเพราะว่ามันได้มีความหลากหลายโดยเฉพาะเเหล่งท่องเที่ยวทางธรรชาติและแหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมนอกจากทุกแขวงต่างก็ได้มีความเป็นธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์และยังได้เคยเป็นสมรภูมิในช่วงของสงครามมาก่อนแล้วทั้งสิ้นหลังจากที่สิ้นสุดสงครามมาอย่างยาวนานลาวได้เปิดประเทศติดต่อกับต่างชาติเพื่อการขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจในครั้งนี้

 

สนับสนุนโดย  entaplay

อักษรเวทย์มนต์โบราณและเรื่องราวอนุสาวรีย์ประวัติศาสตร์

อักษรเวทย์มนต์โบราณ

ในปี2015นักวิจัยของมหาวิทยาลัยยูซีเดวิสได้ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่และยังได้เผยความลับที่ได้มีการบันทึกอยู่ภายในแผ่นจารึกโบราณสีเงินที่ยังไม่เคยมีใครเปิดได้ภายในแผ่นเงินนั้นเป็นอักษรโบราณที่ยังไม่มีการศึกษามาก่อน

โดยเชื่อว่ามันน่าจะเป็นคาถาเวทย์มนต์ ซึ่งมีรูปแบบเป็นตัวอักษรคล้ายคลึงกับอักษรอาราบิก ลักษณะของแผ่นเงินนี้เป็นแผ่นฟอยล์บางมีขนาดความยาวประมาณ5ซม.ภายในได้มีการจารึกข้อความปริศนา ซึ่งไม่มีใครรู้ถึงที่มาแผ่นจารึกโบราณนี้ได้ถูกในเมืองเจราช ประเทศจอร์แดน ได้เป็นเมืองที่ถูกค้นพบเมื่อ2000ก่อนยุคปัจจุบัน

ซึ่งได้เคยถูกปกครองโดยชาวกรีก โรมัน และ อาหรับ นักโบราณคดีเชื่อว่าในช่วงกลางศตวรรษที่8ได้เกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวอย่างรุนแรที่ทำให้เมืองถูกทำลายด้วยอายุและความเปราะบางของโบราณวัตถุชิ้นนี้ทำให้นักวิจัยจะต้องอาศัยเครื่องซีทีสแกนและการสร้างแบบจำลองสามมิติ เพื่อให้เห็นข้อความปริศนาที่ถูกจารึกอยู่ด้านใน

อนุสาวรีย์ของมุสโสลินี

เมื่ออนุสาวรีย์ได้ถูกสร้างขึ้นในกรุงโรม เมื่อปี1932  ได้มีการใส่ข้อความบางอย่างถึงอนุชนรุ่นหลังซ่อนอยู่ภายในอนุสาวรีย์นั้น โดยเป็นข้อความที่ไม่สามารถอ่านในรูปแบบปกติได้ เนื่องจากได้มีหินขนาด300ร้อยตันทับอยู่ด้านบนแต่ศาสตราจารย์ เบททินา ไรทซ์-จูซ และ ฮาน ลาเมอร์ ได้ทำการเก็บข้อมูลจากกรุงโรมแล้ว

นำมาวิเคราะห์ จากนั้นจึงได้พบข้อความเหล่านั้นเป็นบนสรรเสริญ ซึ่งมี3ส่วนและมีทั้งหมด1,200คำได้เขียนขึ้นมาโดยอาเรลิโอ จูเซปเป เอมาตตูชชี่  ซึ่งได้บรรยายเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของลัทธิฟาสซิสต์รวมไปถึงความรุ่งเรืองของมุสโสลินีความกังวลเกี่ยวกับองค์กรเยาวชนฟาสชิสต์และข้อมูลเกี่ยวกับการสร้างอนุสาวรีย์นี้

นอกจากนี้ ดร. ลาเมอร์ กล่าวว่า ข้อความเหล่านั้นบรรยาายเปรียบมุสโสลินีเป็นดั่งจักรพรรดิองค์ใหม่แห่งโรมอีกทั้งยังได้เป็นผู้ไถ่บาปให้แก่ประชาชนอิตาเลียนทั้งนี้ยังได้เชื่ออีกว่าข้อความเหล่านี้เหมือนถูกออกแบบมาให้พบเจอหลังการสิ้นสุดของลัทธิฟาสชิสต์ เพื่อที่จะได้ส่งต่อเสียงแห่งลัทธิฟาสชิสต์ไปยังอนาคต  นาฬิกาของลินคอล์น

ในช่วงของสงครามกลางเมือง เมื่อวันที่13เมษายน ปี1861 นาฬิกาของอับราฮัม ลินคอล์น ได้ไปอยู่กับช่างทำนาฬิกาชาวไอริชนามว่า โจนาธาน ดิลลิน ผู้ซึ่งสลักข้อความเป็นอนุสรณ์ถึงเหตุการณ์การโจมตีที่ฟอร์ซัมเตอร์ไว้ในนาฬิกาเรื่อนนั้น

โดยมันได้ถูกซ่อนมานานกว่า150ปี นาฬิกาของลินคอล์น ได้ถูกบริจาคโดดยเหลนของเขาให้แก่พิพิธภัณฑ์สมิธโซเนียนที่ตั้งอยู่ในเมืองวอชิงตันดีซี ตั้งแต่ปี1958 แต่ข้อความมันกลับพึ่งถูงพบเมื่อในปี2009เมื่อทางพิพิภัณฑ์ได้รับการบอกใใบ้จากลูกของเหลนของเขา

 

 

สนับสนุนโดย  next88 ทางเข้า

ตำนานต้นมะขามวัดแคจังหวัดสุพรรณบุรี 

       สำหรับใครก็ตามที่เคยอ่านวรรณคดีเรื่องขุนช้างขุนแผนจะต้องคุ้นเคยกับวัดที่ชื่อวัดแคอย่างแน่นอน เนื่องจากว่าวัดแคแห่งนี้เป็นวัดเก่าแก่ที่ก่อตั้งมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาและเป็นวัดที่มีชื่อเสียงอย่างมากในจังหวัดสุพรรณบุรี

ซึ่งในวัดแคนี้มีต้นมะขามอยู่ต้นหนึ่งซึ่งเป็นต้นมะขามที่มีขนาดใหญ่และมีอายุนานหลายร้อยปีโดยขนาดของต้นมะขามนั้นได้มีการลองนำคนมายืนจับมือกันแล้วเทียบเท่ากับ 9 คนโอบเลยทีเดียวและต้นมะขามแห่งนี้ก็อยู่ภายในบริเวณวัดแคนี้มาอย่างช้านาน และต้นมะขามต้นนี้ก็ได้รับน้ำมาจากแม่น้ำท่าจีนเนื่องจากว่าถูกอยู่ริมแม่น้ำและที่คนสุพรรณบุรีรู้จักต้นมะขามต้นนี้ก็เพราะว่าในสมัยนั้นขุนแผน

ได้เคยมาเรียนวิชาอาคมอยู่ที่วัดแคแห่งนี้นั่นเอง โดยตามตำนานมีการระบุเอาไว้ว่าขุนแผนได้ร่ำเรียนวิชาอยู่ในวัดแคแห่งนี้และวิชาหนึ่งที่มีการเรียนนั่นก็คือวิชาเสกใบมะขาม โดยสามารถเสกใบมะขามใน ณ ตอนนั้นได้นำใบมะขามต้นนี้ไปเสกเป็นสัตว์เช่นตัวต่อและตัวแตนเอาไว้โจมตีข้าศึกซึ่งเล่าเรียนวิชามาจากพระอาจารย์คงนั่นเอง

ในปัจจุบันนี้เราจะเห็นว่าภายในบริเวณวัดแคร์จะมีการสร้างเรือนขุนแผนเอาไว้อยู่ใกล้ๆกับบริเวณต้นมะขามยักษ์แห่งนี้ด้วย ซึ่งในปัจจุบันนี้ไม่ว่าจะเป็นเป็นต้นมะขามยักษ์ขนาดใหญ่หรือแม้แต่เรือนของขุนแผนก็ยังคงมีอยู่ภายในบริเวณของวัดแคและนักท่องเที่ยวก็มักจะเดินทางมาท่องเที่ยวและพากันมากราบไหว้เคารพสักการะต้นมะขามยักษ์แห่งนี้

รวมถึงการขึ้นไปชมความงดงามบนเรือนขุนแผนอีกทั้งยังมีรูปปั้นของขุนแผนพร้อมกับบทท่องคาถาบูชาขุนแผนให้นักท่องเที่ยวนั้นได้กราบไหว้และท่องบทสวดอีกด้วย ซึ่งเรื่องราวของขุนแผนนี้เป็นเรื่องราวที่เป็นตำนานโด่งดังมาเนิ่นนานถูกมีการนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์และละครอยู่หลายครั้งโดยตำนานของขุนแผนนั้น

เป็นตำนานทั้งขุนแผนผู้ที่มีวิชาอาคมแก่กล้าคอยช่วยเหลือประเทศชาติอีกทั้งยังเป็นตำนานของขุนแผนซึ่งเป็นผู้ชายที่มีความหล่อเหลาและเป็นบุคคลที่หญิงสาวมากมายหลายคนใฝ่ปองทำให้หลายคนนั้นเปรียบเทียบกับผู้ชายที่เจ้าชู้ว่าเป็นขุนแผนกับชาติมาเกิดซึ่งตำนานนั้น

จะมีหนังสือที่ชื่อว่าขุนช้างขุนแผนคอยบอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับตัวละครที่เป็นความรักระหว่างหนึ่งหญิงสองชายซึ่งเราสามารถหาซื้อหนังสือเหล่านี้มาอ่านพร้อมทั้งสามารถที่จะค้นหาตำนานต้นมะขามยักษ์ในวัดแคแห่งนี้ได้

       อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าเรื่องราวนี้จะเป็นเพียงแค่ตำนานเท่านั้นแต่ก็ยังมีหลายคนที่ให้ความศรัทธาและเชื่อถือหรือยังเดินทางกันมาที่วัดแคจังหวัดสุพรรณบุรีนี้กันอย่างหนาแน่นเพื่อมาทำการกราบไหว้ขอพรเพราะเชื่อกันว่าต้นมะขามยักษ์ต้นนี้เป็นต้นมะขามศักดิ์สิทธิ์ต้นหนึ่งของจังหวัดสุพรรณบุรี

 

ขอขอบคุณผู้ให้การสนับสนุนโดย  entaplay th

ตำนานสารทขนมบ๊ะจ่าง เวอร์ชั่นนางพญางูขาว

         พูดถึงเรื่องขนมบ๊ะจ่างเราแล้วก็จะมีตำนานมากมายหลายตำนานที่พูดถึงกันด้วยขนมบ๊ะจ่างนั้นถือว่าเป็นขนมของคนจีนที่มีการทำขึ้นมาซึ่งในสมัยก่อนนั้นขนมบ๊ะจ่างมีการทำขึ้นมาและมีการห่อขนมไว้อย่างมิดชิดด้านในก็จะมีส่วนผสมของอาหารหลายอย่างไม่ว่าจะเป็นข้าว

และสารอาหารต่างๆโดยขนมนี้จะมีการทำขึ้นมาและถูกโยนไปในแม่น้ำซึ่งวิธีการที่ยอมขนมบะจ่างลงในแม่น้ำนั้นมีการเชื่อกันว่าเป็นการนำขนมไปเซ่นไหว้  ซีว์หยวน ซึ่งเขาเป็นคนดีของบ้านเมืองที่ดีปกป้องคุ้มครองประเทศชาติมาอย่างยาวนานแต่แล้วก็ต้องมาจบชีวิตด้วยการกระโดดน้ำตายซึ่งวันที่เขาได้มีการฆ่าตัวตายด้วย

การกระโดดน้ำนั้นตรงกับวัน 5 ค่ำเดือน 5 ตามข้อมูลของประเทศจีนอย่างไรก็ตามหลังจากที่ ซีว์หยวนได้ฆ่าตัวตายคนจีนก็ได้มีการทำขนมมาเพื่อทำการเซ่นไหว้ซีว์หยวน ในทุกๆปีเมื่อถึงวัน 5 ค่ำเดือน 5 อย่างไร

ก็ตามมีตำนานเรื่องเล่าเกี่ยวกับขนมบ๊ะจ่างนี้พูดถึงเรื่องของนางพญางูขาวซึ่งเป็นตำนานของคนจีนในสมัยโบราณโดยว่ากันว่าขนมว่าจากนี้มีการทำมาอย่างยาวนานแล้วตั้งแต่ก่อนจะมีนางพญางูขาวเกิดขึ้นซึ่งนางพญางูขาวนั้นได้เป็นงูที่มีการบำเพ็ญตบะมาอย่างยาวนานและได้มีการตกหลุมรักกับผู้ชายคนหนึ่งซึ่งไปเรียนเพื่อสอบเข้ารับราชการเพื่อจะได้เป็นขุนนางของประเทศจีนแต่อย่างไรก็ตามเมื่อทั้งสองใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน

ในทุกๆช่วงของปีนี้ตรงกับวัน๕ค่ำเดือน๕นั้นนางพญางูขาวสกัดตัวเองอยู่แต่ในบ้านแล้วไม่ออกมาส่งสินค้าข้างนอกด้วยเนื่องจากว่าในช่วงวันดังกล่าวนั้นชาวบ้านมักจะมีการทำขนมบ๊ะจ่างรวมถึงจะมีการทำเหล้าชนิดหนึ่งขึ้นมาซึ่งเหล่านั้นเรียกว่าเราส่งหวงซึ่งส่วนผสมของเราส่งห่วงนั้นมีส่วนผสมที่เป็นสารกำมะถัน

และสารหนูซึ่งสารนี้จะช่วยในเรื่องของการกำจัดหนูและงูรวมถึงสัตว์มีพิษชนิดต่างๆซึ่งถ้าหากสัตว์ต่างๆเหล่านี้ได้กลิ่นของเราส่งหัวหน้าพวกมันก็จะหลีกหนีซึ่งคุณสมบัตินี้เองที่ทำให้นางพญางูขาวนั้นกลัวเป็นอย่างมากจึงไม่เคยออกไปร่วมกิจกรรมทำขนมบะจ่างกับชาวบ้านเลยอย่างไรก็ตามในวันที่มีเทศกาลทำขนมบ้า

จากนั้นมีอยู่ปีหนึ่งที่สามีของนางพญางูขาวนั้นได้มีการนำเหล้ามาให้ภรรยาของตนเองกลึงซึ่งในเหล้านั้นเป็นเหล้าส่งหวงซึ่งนางพญางูขาวเองก็รู้ดีว่าในระหว่างนั้นมีส่วนผสมของเราส่งห่วงอยู่แต่เธอก็ยังกินจนเมามายหลับไปทั้งคู่

พร้อมกับสามีเมื่อสามีตื่นขึ้นมากลางดึกจึงได้เห็นร่างที่แท้จริงของภรรยาตนเองว่าภรรยาของตนเองนั้นเป็นงูและนี่คือเรื่องเล่าของขนมบ๊ะจ่างที่มีมาเป็นตำนานในเรื่องของนางพญางูขาวซึ่งปัจจุบันนั้นเราก็นำมาเป็นภาพยนตร์ถ่ายทอดเรื่องราวเกี่ยวกับเรื่องของความรักและงูให้กับประชาชนได้รู้กันโดยมีการทำมาหลายเวอร์ชั่นแล้ว

 

ได้รับการสนับสนุนโดย  rb88 สล็อต

เรือเหาะเเอล-8 ว่างเปล่าโดยปริศนาและ2สาเหตุการ์ที่น่าขนลุก

หญิงสาวปริศนา

ภาพถ่ายจากพิพิธภัณฑ์ครัสโนยาสค์ ในไซบีเรียของช่วงปี1900ได้เผยถึงบุคคลลึกลับที่มักจะปรากฎอยู่ในหลายๆภาพบุคคลนั้นคือหญิงสาวผู้ซึ่งไว้ผมเปียใส่ชุดขาวและสวมหมวกที่มีดอกไม้ประดับ ซึ่งเธอมักจะมองมายังกล้องที่กำลังจับภาพอยู่เสมอ

ในบางภาพเธอจะยืนอยู่บนหลังคาหน้าบริเวณสะพานรถไฟของเมืองครัสโนยาสค์และยังได้มีอยุ่อีกหลายภาพที่พบบุคคลนี้ยืนอยู่ใกล้กับเด็กคนอื่นอีกทั้งยังอยู่ตามบริเวณหน้าอาคารต่างๆในเมืองอีกด้วย

ซึ่งน่าแปลกที่กว่ายี่สิบภาพปรากฎเธออยู่ในต่างสถานที่และเวลาแต่ใบหน้าและการแสดงท่าทางของเธอไม่เคยเปลี่ยนเลยเธอนั้นดูโศกเศร้าปากและใบหน้าขอเธอดูบูดบึ้งแม้ในขณะที่เธอดูเหมือจะโพสท่าสำหรับการถ่ายรูปก็ตามทางนักวิจัยของพิพิธภัณฑ์พยายามที่จะค้นหาว่าเธอคือใครแต่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่สามารถระบุตัวตนของเธอได้

ภาพติดวิญญาณในวันงานแต่ง

ซึ่งรูปภาพนี้ได้เป็นรูปภาพของคู่บ่าวสาวที่ถูกถ่ายในปี1942ในเมืองแจสเปอร์ รัฐอลาบามา ซึ่งถ้าหากดูเผินๆก็อาจจะเป็นแค่เพียงภาพถ่ายธรรมดาแต่เมื่อได้สังเกตตรงบริเวณพุ่มไม่ที่อยู่ด้านหลังมันกลับมีบางสิ่งที่ชวนขนลุกติดมาด้วยสิ่งนั้นมันกำลังที่จะอ้าปากมีดวงตาสีดำ

โดยดูจากลักษณะแล้วบ่งบอกว่าสิ่งนั้นมันเป็นผู้หญิง ซึ่งมันได้ปรากฎขึ้นมาโดยที่ไม่ทราบถึงที่มาได้เลยทางด้านครอบครัวเจ้าของรูปได้กล่าวว่าพวกเขาพบรอยนิวสี่นิ้ววอยู่บนชุดเจ้าสาวซึ่งมันได้เป็นตำแหน่งเดียวกับที่วิญญาณปริศนาปรากฎในภาพไม่ว่าสิ่งที่ได้ปรากฎในภาพนั้นจะเกิดขึ้นเพราะภาพฟิล์มเก่าหรือเพราะแสงเงาก็ยังคงไม่มีการยืนยันแน่ชัด

เรือเหาะที่ว่างเปล่า

ในวันที่16สิงหาคม ปี1942 เรือเหาะเอล-8 พร้อมลูกเรือสองคนได้ออกจากสนามบินบนเกาะเทรเชอร์ในบริเวณอ่านซานฟรานซิสโกเพื่อการสำรวจและค้นหาเรือดำน้ำของญี่ปุ่น โดยหลังหนึ่งชั่วโมงต่อมาทางลูกเรือของ แอล-8ได้วิทยุมายังศูนย์บัญชาการว่าพวกเขาได้ตรวจพบการรั่วไหลของน้ำมันในปริเวณเกาะแฟราลอน

และกล่าวว่าพวกเขาจะเข้าไปสำรวจในบริเวณนั้นโดยได้ทิ้งท้ายเอาไว้ว่า “ให้สแตนด์บายรอ” ทางด้านศูนย์บัญชาการพยายามหลายครั้งที่จะติดต่อกลับไปยังแอล-8แต่มันก็ไม่สำเร็จจึงได้มีการส่งทีมออกกตามหา

หลังจากนั้นไม่นานก็ได้พบกับ แอล-8ที่บินอยู่ที่ความสูง2,000ฟุต ซึ่งเป็นระดับความสูงที่อาจทำให้เรือเหาะเกิดอันตรายได้ เรือเหาะได้ลอยหายเข้าไปในกลุ่มเมฆหลังจากนั้นประมาณ15นาทีมันก็ปรากฎออกมาและลมได้พัดพาเรือเหาะที่มีสภาพเสียหายขึ้นไปเหนือเดลี รัฐแคลิฟอเนีย

 

สนับสนุนโดย  rb88

ตำนานบิ๊กฟุต 

            สำหรับตัวบิ๊กฟุตนั้นเชื่อว่าหลายคนคงเคยได้ยินและคงเคยได้ดูภาพยนตร์หรือการ์ตูนเกี่ยวกับตัวบิ๊กฟุตกันมาบ้างแล้วเพราะว่าปัจจุบันนั้นก็ยังมีละครหรือภาพยนตร์ที่สร้างซึ่งมีตัวละครบิ๊กฟุตกันอยู่ในนั้นด้วย

และเด็กๆย่อมรู้จักตัวละครตัวนี้กันเป็นอย่างดีทีเดียวจริงๆแล้วตัวบิ๊กฟุตนั้นถือว่าเป็นยักษ์ในตำนานอีกตัวหนึ่งซึ่งลักษณะของมันนั้นจะมีขนปุกปุยเต็มตัวไปหมด ลักษณะของบิ๊กฟุตนั้นจะมีลักษณะคล้ายกับลิงตัวใหญ่

เลยมันมีความสูงประมาณ 2 เมตรครึ่ง และสำหรับเจ้าบิ๊กฟุตนี้เป็นที่รู้จักกันอย่างมากในช่วงประมาณปีคริสต์ศักราช 1811ที่เมือง เจสเปอร์ ประเทศแคนาดาซึ่งการค้นพบครั้งแรกนั้นเกิดขึ้นเมื่อมีชายคนหนึ่งได้ขึ้นไปเดินบนภูเขาที่มีหิมะปกคลุมเต็มไปหมดและเขาพบเห็นรอยเท้าซึ่งมีขนาดใหญ่

โดยเมื่อมีการวัดรอยเท้าแล้วพบว่าขนาดของรอยเท้านั้นมีความยาวถึง 35 เซนติเมตรเลยทีเดียว และแน่นอนว่ารอยเท้าที่มีขนาดใหญ่มากขนาดนี้เกิน 1 ไม้บรรทัดนั้นจะต้องไม่ใช่รอยเท้าของมนุษย์อย่างแน่นอน และแน่นอนว่าผู้คนส่วนใหญ่จึงเริ่มหาข้อมูลเกี่ยวกับรอยเท้าดังกล่าวว่าเป็นรอยเท้าของใครกันแน่

ที่มีรอยเท้าใหญ่มากขนาดนี้เลยหลายคนนั้นคิดไปถึงรอยเท้าของยักษ์กันเลยทีเดียวอย่างไรก็ตามได้มีคลิปวีดีโอคลิปหนึ่งได้มีการเผยแพร่ออกมาเป็นการแอบถ่ายผู้ชายคนหนึ่ง ในช่วงปีคริสต์ศักราช 1967  ซึ่งคลิปดังกล่าวนั้นเป็นคลิปที่ถ่ายถึงผู้ชายคนหนึ่งที่มีขนขึ้นเต็มตัวไปหมดและมีร่างกายสูงใหญ่เขากำลังเดินอยู่ในป่า

และถึงแม้ว่าคลิปวีดีโอดังกล่าวนั้นจะมีช่วงเวลาการถ่ายออกมาเพียงแค่ไม่กี่วินาทีเท่านั้นแต่ทุกคนที่ได้เห็นวีดีโอดังกล่าวนั้นก็พากันปักใจเชื่อแล้วว่าชายที่อยู่ในคลิปวีดีโอนั้นคือบิ๊กฟุตตัวจริง แต่ก็มีบางคนมีความคิดเห็นแตกต่างออกไปว่าคลิปดังกล่าวนั้นน่าจะเป็นการสร้างขึ้นมาโดยอาจจะให้คนมาใส่ชุดของลิงยักษ์แล้วถ่าย

เหมือนกับว่าพวกเขานั้นเจอบิ๊กฟุตแต่อย่างไรก็ตามในอีกไม่กี่ปีให้หลังต่อมาก็มีการค้นพบขนซึ่งมีความยาวถึง 6 cm ส่งมาให้เจ้าหน้าที่ตำรวจมาถึง 15 cm ด้วยกันและผู้ส่งยังได้มีการเขียนกำกับเอาไว้ด้วยว่าเส้นขนดังกล่าวนั้นเป็นเส้นขนของบิ๊กฟุต แต่หลังจากที่มีการส่งตรวจสอบกับพบว่าเส้นขน

ดังกล่าวนั้นเป็นเส้นขนของกวางนั่นเอง แต่อย่างไรก็ตามถึงแม้จะมีหลายกระแสออกมายืนยันว่าบิ๊กฟุตนั้นมีอยู่จริงในโลกใบนี้แต่ก็ยังไม่เคยมีใครที่จะเห็นบิ๊กฟุตตัวเป็นๆหรือมีหลักฐานยืนยันได้ว่าบิ๊กฟุตนั้นมีอยู่จริง

ก็เท่าที่เห็นอยู่ในปัจจุบันนี้ก็เป็นลักษณะของคนที่นำชุดนี้มาใส่และถ่ายรูปออกมาเพื่อให้เหมือนกับบิ๊กฟุตเท่านั้นยังไม่เคยมีใครที่จะเห็นเลยว่าบิ๊กฟุตของจริงนั้นมีจริงอยู่หรือไม่ซึ่งเรื่องนี้ก็ยังคงเป็นที่ถกเถียงกันตั้งแต่ในอดีตมาจนถึงปัจจุบันนี้ก็ยังหาข้อสรุปไม่ได้นั่นเอง 

 

สนับสนุนโดย  เว็บพนัน ดีที่สุด 2020

สนามกีฬาโคลอสเซียม

สำหรับสนามกีฬาโคลอสเซียมนั้นซึ่งก็ได้สร้างเสร็จเมื่อประมาณคริสตศักราช80และมันได้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อการแสดงและให้มันได้กลายมาเป็นความบันเทิงขององค์จักรพรรดิ แต่เนื่องจากว่าจักรพรรดิท่านนี้ท่านก้ได้สร้างไป

เมื่อประมาณไม่แน่ใจว่าน่าจะ50-60ของคริสตศักราชแต่ทีนี้ท่านก็ได้สวรรคตในปี ค.ศ.79จากนั้นลูกชายแท้ของท่านก็ได้ขึ้นมาครองราชแทนแล้วต้องการความเป็นนิยมของคนในหมู่มากจึงได้ทำการจัดกีฬาในกลางแจ้งในวันพิธีเปิดโคลอสเซียม

และยังได้มีหลายรูปแบบมาไม่ว่าจะเป็นการนำเอานักรบหรืออะไรต่างๆนำเอามาต่อสู้กันเองหรือนำเอาคนไปสู้กับกลาดิเอเตอร์หรือแม้แต่ประวัติศาสตร์ที่เรานั้นได้เคยศึกษามาก็คือการจับนักโทษนำเอามาทำการประหารที่ในโคลอสเซียม

โดยให้นักโทษนั้นได้เข้าไปยืนอยู่ในโคลอสเซียมด้วยมือเปล่าและได้ปล่อยสัตว์ร้ายออกมาให้เข้ามาทำร้ายจนถึงแก่ความตายและจะขอบอกเลยว่าเรื่องของโคลอสเซียมนั้นมันก็ไม่ธรรมดาเลยจริงๆซึ่งข้อมูลตรงนี้มันได้มีอยู่เยอะมาซึ่งเราก็ได้หานำเอามาวิเคราะห์ให้ทุกคนได้อ่านกันแต่ถึงอย่างไรก็ตามก็ต้องนับถือหัวใจของนักวิศวะกรของสมัยก่อนที่เก่ามากที่ได้สร้างสนามกีฬาที่ใหญ่ขึ้น

มาขนาดนี้ได้แต่ก็อย่างที่ได้กล่าวไปว่าคนมือเปล่าและได้สู้กับสัตว์ร้ายไม่ว่าจะเป็นช้าง ฮิปโปโปเตมัส หรือ สิงห์โตเราไม่อยากจะนึกสภาพเลยว่าคนที่ได้ดูกันอยู่ทั้งสนาม5หมื่นกว่าคนเห็นคนกำลังที่จะถูกสัตว์ร้ายเข้ามาทำร้าย

ซึ่งมันก็ได้เป็นอีกหนึ่งสิ่งของความที่ได้เป็นโรคจิตถ้าหากเราได้ไปเห็นแบบนั้นเป็นเราก็ไม่โอเคสักเท่าไหร่ ซึ่งรูปแบบลักษณะแบบนี้มันก็ได้เป็นความสนุกของคนที่ได้อยู่ในยุคสมัยก่อนและ สำหรับเรื่องนี้มันก็ได้เป็นทฤษฎีที่เขาได้ตั้งขึ้นมาก่อนที่จะได้มีการนำเอามาสรุปกันในทีหลังและนี่มันได้เป็นเพียงแค่ทฤษฎีก่อนที่พวกเขาจะได้ตั้งข้อบทสรุป ซึ่งเราได้เชื่อว่าทุกๆคนนั้น

ก็อาจจะเคยได้เรียนประวัติศาสตร์กันมาอย่างแน่นอน ซึ่งในประวัติศาสตร์ที่เราได้พูดถึงนี้เราขอยกเอาของประวัติศาสตร์จริงจีนขึ้นมา ในประวัติศาสตร์จีนมันก็ได้มีอยู่หลายราชวงค์มากซึ่งก็จะมีไล่กันมาเรื่อยๆ

ซึ่งราชวงค์จีนนั้นก็ได้มีอยู่เยอะมากและเราก็ยังได้เคยเข้าไปศึกษาเรื่องราวของราชวงค์จีนอยู่ระยะหนึ่งจนผมได้ไปติดตามหนังเรื่องหนึ่งที่เรียกว่า กษัตริย์โลกไม่ลืม ของราชวงค์สุดท้ายของจีนที่เขาได้มีการบอกว่าได้มีการขายประเทศหรือที่ว่าได้มีการแทรกแซมของคนยุโรปของคนอังกฤษเข้ามาจนทำให้คนในประเทศจีนจะต้องเสียพื้นที่เสียดินแดนไปบางส่วนหรือเสียผลประโยชน์อะไรไปบางส่วนอันนี้ทางเราก็ไม่แน่ใจ

 

สนับสนุนโดย  sagame สูตร

ชีวิตหลังความตายมันมีอยู่จริงหรือไม่

ชีวิตหลังความตายมันมีอยู่จริงหรือไม่และชีวิตหลังความตายนั้นเป็นอย่างไร?

ในกรณีของคนเราที่ได้เสียชีวิตไปแล้ว แล้วจะกลับมาฟื้นอีกครั้งหนึ่งเปอร์เซ็นมันแทบจะเป็นศูนย์แต่มันได้มีบางกรณีที่เสียชีวิตไปแล้วกลับมาฟื้นมีชีวิตอีกรอบ ซึ่งเกิดขึ้นในประเทศไทยและต่างประเทศเราก็ตกใจอยู่เหมือนกันว่าคนอะไร

ตายไปแล้วฟื้นกลับมาได้หรือจริงๆทางหลักวิทยาศาสตร์เขาก็ได้อ้างอิงเอาไว้ว่าจริงๆร่างกายคนเรามันอาจจะยังไม่ตายร้อย%แต่เราลองนึกสภาพหัวใจหยุดเต้นร่างกายเย็นแต่คนเรากลับมามีชีวิตได้ยังไง

และบางคนเซลล์ที่อยู่ในร่างกายบางส่วนมันได้ตายไปแล้วก็เลยตกใจว่ามันคืออะไร ยกตัวอย่างในประเทศไทยเรามันจะมีอยู่กรณีหนึ่งที่ได้มีน้องคนหนึ่งที่ได้เสียชีวิตไปน้องมีอายุประมาณ10เหตุการณ์ประมาณ5-6ปีที่แล้วที่น้องนั้นได้ตายไปแล้วทางญาติหรือคุณหมอก็ได้จับตัวน้องตัวน้องยังอุ่นๆแต่อยู่ดีๆน้องเขาก็ได้ฟื้นขึ้นมาจากความตาย

แต่สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือหลังจากที่ร่างกายตายไปได้ระยะเวลาก็หลายวันสิ่งที่เกิดขึ้นก็คือเซลล์ในร่างกายของน้องได้ตายไปบางส่วนแล้วและมือของน้องก็ได้เป็นเนื้อแห้งๆแข็งๆไม่สามารถที่จะขยับมันได้แล้วหากจะพูดง่ายๆ

มันก็จะเหมือนกับศพของมันมี่เนื้อมันแห้งๆไม่สามารถขยับได้ ซึ่งเหตุการณ์นี้มันได้เกิดขึ้นในประเทศไทย เราก็เลยตกใจว่าคนเราเมื่อตายไปแล้วมันสามารถกลับมาฟื้นได้อีกหรอมันหน้าแปลกใจมากแล้วอย่างในกรณีนี้มันไม่ใช่กรณีแรกที่เกิดขึ้นในประเทศไทยมันเคยมีกรณีก่อนหน้านี้ถ้าใครไปหาอ่านข่าวได้ว่ามันได้มีคนบางคนเสียชีวิตไปแล้ว

ร่างกายนั้นเย็นมากแต่ฟื้นขึ้นมาได้ทางคุณหมอก็เลยงงมันเกิดอะไรขึ้นทางวิทยาศาสตร์ก็ยังบอกไม่ได้แต่เขาได้สันนิษฐานกันว่าเหมือนร่างกายมันช็อกทุกอย่างมันหยุุดทำงานไปแล้วและเหมือนร่างกายมันกลับมาได้มันก็ยังไม่มีหลักฐานยืนยันทางวิทยาศาสตร์ได้ว่ามนุษย์เราสามารถหยุดร่างกายเหมือนดับร่างกายแล้ว

เปิดขึ้นมาใหม่มันก็ยังไม่มีนักวิทยาศาสตร์คนไหนที่จะพิสูจน์ได้หรือว่ามีหลักฐานในการยืนยันมันก็เลยคิดไม่ออกว่ามันได้เกิดขึ้นมาจากอะไร

ซึ่งในปัจจุบันนี้คนเราก็ยังไม่รู้ในต่างประเทศใช่ว่ามันจะไม่มีในต่างประเทศก็มีบางคนอยู่ในโลงกำลังเอาเข้าเตาเผาแล้วอยู่ดีๆเหมือนมีเสียงเคาะออกมาจากโลงศพที่มีคนตายปรากฎคนที่เสียชีวิตที่นอนอยู่ในโลงยังไม่เสียชีวิตแต่ถึงอย่างไรก็ยังโชคดีที่ยังไม่ถูกเผาทั้งเป็น

 

ได้รับการสนับสนุนโดย  bk8

ตำนานไซซีหญิงงามที่พลิกประวัติศาสตร์ของจีน

        ว่ากันว่าในประวัติศาสตร์ของจีนนั้นมี 4 หญิงงามที่สามารถพลิกประวัติศาสตร์ของจีนจากเมืองที่ดีให้กลายเป็นการล่มสลายของเมืองได้สำหรับหญิงงามคนแรกที่เราจะพูดถึงกันนั่นก็คือไซซีซึ่งเรื่องราวของหญิงงามที่ชื่อว่าไซซีนี้

เกิดขึ้นเมื่อประมาณคริสตศักราช 506 ซึ่งในสมัยนั้นเป็นยุคสมัยของชุนชิวโดยมีการปกครองด้วยพระเจ้าเจ้อเจียงสำหรับใส่ซีนั้นเป็นลูกสาวของข้าราชการที่มีฐานะร่ำรวยและเธอเป็นหญิงงามที่สุดในยุคนั้น 

ในยุคชุนชิวนั้นเป็นยุคที่มี การต่อสู้แก่งแย่งอำนาจกันอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งในครั้งนั้นมีการต่อสู้กันระหว่างรัฐอู๋ กับรัฐเย่ว และแน่นอนว่า รัฐอู๋เป็นฝ่ายชนะ ซึ่งทางด้านรัฐเย่วต้องการแก้แค้ จึงได้มีการคิดแผนการรบขึ้นมา

ซึ่งแผนดังกล่าวนั้นก็คือจะต้องมีการฝึกกองกำลังทางทหารให้แข็งแกร่งและยังมุ่งเน้นเรื่องของการพัฒนาด้านกสิกรรมและแผนที่ 3 คือการที่จะส่งสาวงามไปเป็นบรรณาการให้กับพระเจ้าที่ครองแคว้นของรัฐอู๋ และแน่นอนว่าหญิงงามที่พูดถึงกันอยู่นั้นก็คือ ไซซีนั่นเอง ในการที่รัฐเย่ว ส่งหญิงงามไปถวายตัวให้กับเจ้าผู้ครองเมืองแห่งรัฐอู๋นั้น

นอกจากจะมีการส่งไปรษณีย์ไปแล้วยังมีการส่งนางเจิ้งตันไปคู่กันด้วย ซึ่งทั้งคู่นั้นถูกถูกอบรมให้มีอุดมการณ์รักชาติบ้านเมืองและสามารถที่จะทำยังไงก็ได้ให้กษัตริย์ครองเมืองของรัฐอู๋นั้นลุ่มหลงอย่างไรก็ตาม เมื่อ 2 สาว

ที่มีความงดงามถูกส่งตัวไปยังรัฐอู๋กษัตริย์ที่ครองเมืองกับชื่นชมพระนาง ไซซี มากกว่าทำให้ พระนางเจิ้งต้น น้อยใจ จนฆ่าตัวตาย ในระหว่างที่พระนางไซซีนั้นอยู่ที่อู๋ พระนางทำทุกวิถีทางให้เจ้าเมืองของรัฐอู๋ นั้นลุ่มหลงและไม่สนใจกิจการบ้านเมืองจนข้าราชบริพารนั้นต่างก็พากันต่อว่าและเอือมระอา

แต่อย่างไรก็ตามมีอำมาตย์ที่ชื่อว่าซุนหวู่ซึ่งเป็นคนที่มีชื่อเสียงโด่งดังเรื่องความเก่งกาจในการต่อสู้และยุทธวิธีใช้ต่างๆได้ออกมาสาธิตการต่อสู้มากมายโดยใช้ผู้หญิงมาเป็นตัวทดลองในการสาธิตในครั้งนั้นทำให้มีผู้หญิงหลายคนนั้นเสียชีวิต

เป็นเหตุให้พระนางไซซีนั้นไม่พอใจจึงได้มีการเข้าปะทะแนวความคิดนี้กับซุนวูเพราะว่านางใส่สีนั้นเห็นว่าตนเองก็เป็นผู้หญิงเหมือนกันจึงอยากให้ซุนวู นั้นเปลี่ยนแนวความคิดพี่ให้เลิกดูถูกผู้หญิง จึงได้มีการตัดต่อวาทีกันขึ้นและในที่สุดพระนางไซซีนั้นก็สามารถเอาชนะซุนวูได้  อย่างไรก็ตามตั้งแต่พระนางไซซี

ได้มาอยู่ที่รัฐอู๋เป็นระยะเวลาถึง 13 ปีด้วยกันและพระนางได้มีการทำให้เจ้าผู้ครองแค้วนรัฐอู๋ลุ่มหลง ทำให้ในที่สุด รัฐอู๋ก็อ่อนแอไม่เก่งกาจเหมือนเดิมจนทำให้รัฐเย่ว สามารถมารบเอาชัยชนะกลับไปได้ และนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาก็ไม่เคยมีใครเห็นพระนางไซซีอีกเลยว่ากันว่าหลังจากที่มีการผ่านศึกสงครามในครั้งนั้นไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วพระนางใส่ 4 ก็เดินทางออกท่องเที่ยวไปเรื่อยๆใช้ชีวิตอยากมีความสุข

 

ได้รับการสนับสนุนโดย  sagame88